วิธีการจองเรือ Disney Dream
หลังจากได้แพลนเรื่องของเดือน ช่วงเวลาที่ไปได้ คร่าวๆ แล้วจึงเข้าไปนั่งดูใน เว็บไซต์ของเรือดิสนีย์ หรือที่ (Disney Cruise Line Official Website) แล้ว จะมีวิธีหาโปรแกรมเรืออยู่ 2 วิธีคือค้นหาจากหน้าแรก (Cruise Search) หรือ จะเข้าไปในเมนูหลักแท็บที่สามหรือเมนู “Search for a Cruise” นั่นเอง
ค้นหา โปรแกรมเรือ Disney Cruise วิธีแรก
หลังจากที่เข้าเว็บไซต์หลักของเรือดิสนีย์มาแล้ว ก็ขอให้เหลือบไปที่เมนูค้นหาเรือ (Cruise Search) ซึ่งจะอยู่ด้านซ้ายมือของหน้าแรก เพื่อที่จะเข้าไปเลือกเรือที่เหมาะกับเรา โดยมีเมนูทีให้เลือกนั้นก็สามารถระบุเงื่อนไข 3 อย่างที่เราต้องการอยากค้นหา ซึ่งเงื่อนไขมีดังต่อไปนี้
- Choose a Date : ระบุเดือนที่สามารถไปได้ โดยเขาจะมีโปรแกรมเรือ ให้เราได้สามารถเลือกล่วงหน้าได้ปีกว่าๆ เลยทีเดียว
- Choose a Destination : ระบุพื้นที่ของที่หมาย ที่เราจะล่องเรือไป ซึ่งพูดง่ายๆ ก็คือโซนของเรือลำนั้นที่แล่นอยู่ มีตั้งแต่แถบ อลาสก้า (Alaska) บาฮามาส (Bahamas) แคลิฟอร์เนียโคส (California Coast) แคริบเบียน (Caribbean) ยุโรป (Europe) ฮาวาย (Hawaii) เม็กซิโก (Mexico) คลองปานามา (Panama Canal) และที่หมายอื่นๆ
- Choose a Departure Port : ส่วนนี้คือส่วนที่เลือกท่าเรือที่เราจะไปขึ้น ซึ่งมีหลายท่ามากๆ จากทั่วโลก สังเกตุดูจะมีที่เมือง บาร์เซโลน่า ประเทศสเปน (Barcelona, Spain) โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก (Copenhagen, Denmark) และประเทศอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงท่าเทียบเรือใน ประเทศสหรัฐอเมริกา เช่นกัน ซึ่งเขามีออปชั่นตัวเลือก ให้เลือกทั้งฝั่งตะวันออก และ ตะวันตก โดยผมได้เลือกไปฝั่งตะวันตกคือ ท่าเรือมคานาวารัล (Port Canaveral) รัฐฟลอริด้า (Florida) เรียกได้ว่าอยู่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ ของประเทศสหรัฐฯ เลยก็ว่าได้
หลังจากนั้นก็ระบุจำนวนผู้โดยสารที่จะเดินทางไปกับเรา รวมไปถึงเด็กที่มีอายุระหว่าง 1-17 ปี ให้เรียบร้อย พร้อมกับระบุสกุลเงินที่จะใช้ในการคำนวณออกมา ซึ่งก็มี USD (เงินดอลล่าร์สหรัฐ) GBP (เงินปอนด์อังกฤษ) EUR (เงินยูโร) ซึ่งแน่นอนก็ไม่มีเงินบาทไทย (THB) อยู่ดี ดังนั้นจึงใช้สกุล “USD” ในการคำนวณไปนั่นแหละ
ซึ่งการเลือกเงื่อนไขทั้งหมดด้านบน 3 ข้อ นั้นไม่จำเป็นจะต้องเลือกทุกข้อก็ได้ หากเรารู้แค่เดือน ที่สะดวกจะไป ก็เลือกแค่ส่วนของ “Choose a Date” ก็ได้ พอมาข้อสอง “Choose a Destination” ตัวเลือกที่ไม่ว่างก็จะหายไป จะแสดงเฉพาะที่ว่าง (Available) เท่านั้น แล้วหลังจากนั้นระบบมันจะค้นหา โปรแกรมเรือ ที่มีให้บริการในช่วงนั้นๆ ออกมาเองโดยอัตโนมัติ จนกระทั่งได้ โปรแกรมเรือ ที่เราต้องการ
ค้นหา โปรแกรมเรือ Disney Cruise วิธีที่สอง
วิธีนี้จะง่ายมาก เพราะเป็นเมนูหลักที่เขาออกแบบมาให้ค้นหา โปรแกรมเที่ยวเรือโดยเฉพาะ ซึ่งเนื้อหาไม่ต้องไปเบียดกับใคร (เหมือนของวิธีแรก ที่อยู่ในหน้าแรก) โดยเข้าไปปุ๊บ ระบบก็จะถามคำถามเราอยู่ประมาณ 6-7 คำถาม เช่น ต้องการจะไปเที่ยวที่ไหน (จุดหมายปลายทาง) จะไปเมื่อไหร่ปีไหนเดือนอะไร จะขึ้นเรือจากที่ไหน ต้องการจะขึ้นเรือลำไหน (มีให้เลือก 4 ลำ) มีผู้โดยสารที่จะไปกันทั้งหมดกี่คน สกุลเงิน ฯลฯ
ซึ่งในวิธีที่สองนี้ คำถามจะเหมือนกับแบบแรก เว้นแต่ต้องการจะขึ้นเรือลำไหน ที่มีเพิ่มเข้ามา นอกจากนี้แล้ว เราจะยังมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจนมากกว่า เพราะหากเราเลือกตัวเลือกไปอันนึง ตัวเลือกอื่นๆ (คำถามอื่นๆ) หากไม่มีตัวเลือก ตรงกับความต้องการของเราก็จะถูกเบลอ หรือ ตัดออกไปนั่นเอง หลังจากนั้นก็กดปุ่ม ตรวจสอบโปรแกรมเรือว่าง หรือ “Check Availability” ตามภาพตัวอย่างด้านบน
ผลการค้นหา โปรแกรมเรือ Disney Cruise
หลังจากนั้นระบบก็จะแสดงเวลาว่างทั้งหมด ที่ตรงกับเงื่อนไขของเราออกมา ซึ่งแน่นอน ในแต่ละเดือนก็จะมีเรือสำราญดิสนีย์ออกจากท่าเยอะมากๆ ยกตัวอย่างที่ค้นหาออกมาเจอ 10 โปรแกรมเรือ ซึ่งแน่นอน ในแต่ละสัปดาห์ราคาก็แตกต่างกันออกไปอาทิเช่น
- 3-Night Bahamian Cruise on Disney Dream
- 4-Night Bahamian Cruise on Disney Dream- Itinerary I
- 5-Night Bahamian Cruise on Disney Magic – Itinerary B
อะไรแบบนี้เป็นต้น ซึ่งผมก็กวาดสายตาดูก่อนเลยว่า มีโปรแกรมเรือใน แบบ 3 คืน หรือไม่ เพราะว่าจำนวนคืนเราต้องบวกวันไปอีก 1 วัน อาทิเช่น 3 คืน จะเท่ากับ 4 วัน หากเป็น 4 คืนก็จะ 5 วัน และด้วยเงื่อนไขที่ผมบอกคือ ทริปนี้ผมมีเวลาเที่ยวไม่มาก เพราะต้องเดินทางไปอีกหลายที่ หลายรัฐ หลายเมือง เลยเลือก โปรแกรมเรือ แบบ 3 คืน 4 วันไป ซึ่ง ก็จะมีแต่เรือ ดิสนีย์ดรีม (Disney Dream) เท่านั้น ที่ตอบโจทย์ของพวกเรา
ห้องพักในเรือ Disney Dream มีกี่แบบ ?
หลังจากที่เราเลือกวันเวลาที่จะไปขึ้นเรือ พร้อมกับที่หมาย และ ท่าเรือที่เราจะไปขึ้นเรือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผลลหน้าที่ของเราหลังจากนี้คือการเลือกรูปแบบของห้องพักบนเรือ พูดง่ายๆ ก็เหมือนกับเลือกห้องพักในโรงแรมนั่นแหละ แต่ว่าบอกไว้ตรงนี้เลยว่า มันคงไม่ได้หรูหราเหมือนโรงแรมบนบก หรือ โรงแรมบนพื้นดิน ที่เราเคยเห็น หรือเคยไปพักมาก่อน อย่างแน่นอน เพราะนี่คือ โรงแรมลอยน้ำ หรือ เรือสำราญ แน่นอนว่ามีข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่ สถานที่อย่างแน่นอน
โดยประเภทของห้องบนเรือนั้นแบ่งออกไปเป็นหลายประเภทมากๆ ยิ่งเห็นวิวนอกเรือชัดเจน แจ่มแจ้ง มากเท่าไหร่ ราคาก็จะแพงเป็นเงาตามตัวไปเท่านั้น ทีนี้เรามาดูรูปแบบของห้องบนเรือ หรือที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Stateroom กันดีกว่า
- Inside Staterooms (ห้องพักแบบไม่เห็นวิวด้านนอกอะไรเลย) : เนื่องจากห้อง จะอยู่ตรงกลางลำเรือ ไม่ได้อยู่ริมขอบเรือ ดังนั้นเมื่อเข้าไปจะเป็นห้องนอน ก็จะเอาไว้ซุกหัวนอนอย่างเดียวจริงๆ เพราะไม่มีหน้าต่าง แต่บนหัวเตียงนอน จะจำลองเป็นกระจกที่มีรูปวิวแบบเมจิคเรียลไทม์ กล่าวคือ คุณสามารถดูวิวจากโทรทัศน์ ซึ่งเป็น บรรยากาศจากกล้องด้านนอก โดยห้องจะมีขนาด 169 ตารางฟุต หรือประมาณ 16 ตารางเมตร ซึ่งเล็กมากๆ (ห้องน้ำ และ ห้องอาบน้ำ รวมกัน)
- Oceanview Staterooms (ห้องพักแบบเห็นวิวเป็นกระจก แต่ออกไปไม่ได้) : ห้องพักแบบโอเชียนวิว นี้เป็นห้องที่คุณสามารถเห็นวิวทิวทัศน์ภายนอกเรือได้ ในรูปแบบกระจก หรือ หน้าต่างใต้ท้องเรือ (Porthole) พร้อมม่านรูดปิดได้ นึกถึงตอนนั่งริมหน้าต่างบนเครื่องบิน แต่ขนาดกระจกจะใหญ่กว่ามาก แต่คุณจะไม่สามารถออกไปได้ ขนาดห้องอยู่ที่ 204 ตารางฟุต หรือ ประมาณ 19 ตารางเมตร (ห้องน้ำ และ ห้องอาบน้ำแยก 2 ห้อง)
- Stateroom with Verandah (ห้องพักแบบมีระเบียง เปิดออกไปชมวิว นั่งเล่นได้) : ห้องพักแบบมีระเบียง ที่เป็นประตูกระจก สามารถให้คุณได้เปิดออกไปนั่งเล่น ชมวิว นอกระเบียงได้ โดยมีขนาดพื้นที่ 246 ตารางฟุต หรือ 23 ตารางเมตร โดยห้องน้ำจะถูกแยกเป็น 2 ห้องคือ ห้องน้ำ และ ห้องอาบน้ำ เช่นกัน แต่ห้องนี้จะถูกแบ่งย่อยออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ด้วยกันคือ
- Deluxe Oceanview Stateroom with Navigator’s Verandah : ห้องแบบมีระเบียง แต่จะเห็นวิวแบบหน้าเต็ม ไม่เต็ม100% สาเหตุเพราะมีเหล็กปิด ซึ่งเป็นส่วนโค้งของเรือ พอดี หากนึกภาพไม่ออก ดูรูปประกอบ (ผมจองแบบนี้ไป)
- Deluxe Oceanview Stateroom with Verandah : ห้องแบบมีระเบียง ที่คุณจะสามารถเห็นภาพวิวทิวทัศน์ด้านนอกได้แบบเต็มๆ ราคาจะต่างกับแบบแรกอยู่ $100 (ทั้งทริป ไม่ใช่ต่อคืน) ซึ่งห้องประเภทนี้จะมีให้อยู่ตั้งแต่ชั้น 5 6 7 8 9 และ 10 ขนาดของห้องมีให้เลือก 2 แบบคือ
- 246 ตารางฟุต (23 ตารางเมตร)
- 299 ตารางฟุต (28 ตารางเมตร)
ราคาก็จะแตกต่างกันออกไป ยิ่งชั้นสูงขึ้นมากเท่าไหร่ ราคาก็สูงขึ้นมากเท่านั้นตามลำดับ แต่ไม่ต้องกังวล เพราะราคาจะสูงขึ้นแค่ชั้นละประมาณ $30.00 ต่อทริป
- Concierge with Verandah (ห้องสูทสุดหรู) : เป็นห้องสุดหรูที่มาพร้อมกับระเบียง และการตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ที่สุดหรู ตัวห้องพักจะอยู่ชั้นบนเกือบ บนสุดของเรือ (ชั้น 11 และ ชั้น 12) ให้คุณได้ชมวิวท้องทะเล มหาสมุทร กันได้อย่างอิ่มหนำสำราญ โดยมันจะแบ่งรูปแบบของห้องออกเป็น 3 ประเภท ย่อย ด้วยกันคือ
- Concierge Family Oceanview Stateroom with Verandah : ภายในห้องมีพื้นที่ใช้สอยอยู่ 304 ตารางฟุต หรือ 29 ตารางเมตร โดยประมาณ ตั้งอยู่บนชั้นที่ 11 และ 12 ของเรือ (ราคาประมาณ $2,000)
- Concierge 1-Bedroom Suite with Verandah : ห้องสุดหรู อยู่บนพื้นที่ 614 ตารางฟุต หรือ 57 ตารางเมตร ซึ่งดูขนาดแล้วเทียบเท่าคอนโดหรูเลย ซึ่งภายในห้องนอนจะแยกเดี่ยวเป็น 1 ห้อง พร้อมกับห้องนั่นเล่น โต๊ะทำงาน โต๊ะทานข้าว และยังมีระเบียงที่กว้าง กว่าห้องธรรมดาทั่วไป เป็นกระจกใสโปร่ง ออกไปนั่งดูวิวชิวๆ ได้เป็นอย่างดี (ราคาประมาณ $2,300)
- Concierge Royal Suite with Verandah : และสุดท้ายคือห้องที่ถือว่า โคตรหรู ที่สุดบนเรือ เรียกว่ารอยัลสูท (Royal Suite) สวยสุด เกินคำบรรยาย มีพื้นที่ในห้อง 1,029 ตารางฟุต หรือ ประมาณ 96 ตารางเมตร ห้องจะอยู่ตรงหัวมุมของเรือ ทำให้เห็นบรรยากาศได้กว้างกว่าห้องพักปกติทั่วไป ภายในมีโต๊ะทานข้าว บาร์ เล้าจ์ ส่วนตัว พร้อมระเบียงที่กว้างมากๆ และ อ่างแช่น้ำอุ่นข้างนอก ที่เป็นส่วนตัวสุดๆ สีสันในห้องถูกตกแต่งสวยงาม มากๆ ใครเป็นเศรษฐี มีเงินเหลือใช้ อยากใช้ชีวิตไฮโซ ต้องห้องนี้เลย (ราคาห้องขณะที่ทำรีวิว ทั้งหมดประมาณ $7,500 หรือ ประมาณ 250,000 บาท)
เมื่อเลือกประเภทของห้องพักต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว กรอกข้อมูลส่วนตัว ชื่อ ที่อยู่* อีเมล์ ระบบก็จะพาคุณไปชำระเงิน ซึ่งสามารถจ่ายด้วยบัตรเครดิตทั้งแบบ วีซ่า และ มาสเตอร์การ์ด โดยระบบสามารถที่จะหักเงินจากบัตรเดี๋ยวนั้นทันที หรือ หากยังไม่จ่ายตอนนั้น ก็สามารถที่จะเลือกจ่ายเป็นเงินมัดจำ (Deposit) และไปชำระจำนวนที่เหลือ (Remaining Balance) ได้ในช่วงใกล้ๆ วันเดินทาง ที่จะต้องชำระเงินให้ครบถ้วนกรุณาอ่านวันที่ระบบเขาระบุมาดีๆ เพราะจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับวันเวลาที่คุณจอง และ โปรแกรมเรือ ที่คุณเลือกเดินทาง มิเช่นนั้นการจอง จะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติ เรียกได้ว่าต้องเอาให้ชัวร์และมั่นใจก่อนนะ ว่าจะสามารถเดินทางไปได้จริงๆ
และนอกจากนี้แล้ว ก่อนที่จะไปทำการจ่ายเงิน มันจะมีถามโน่นนี่นั่นอีกเล็กน้อย อาทิเช่น ซื้อประกันคุ้มครองโน่นนี่นั่น อย่าง Disney Cruise Line Vacation Protection Plan หรือไม่ ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจอะไร กะจะข้ามๆ ไป แต่เหลือบไปเห็นตัวเลือกนึงอยู่ในเมนูคือ การเดินทางบนพื้น หรือ “Ground Transportation” เมื่อกดเข้าไปอ่านรายละเอียดก็พบว่า มันคือรถที่บัส (รถโค้ช) ที่จะนำพาท่านจากสนามบินนานาชาติออร์แลนโด (Orlando International Airport รหัสตัวย่อ MCO) ไปยัง ท่าเรือคานาวารัล (Port Canaveral) เพื่อขึ้นเรือดิสนีย์ดรีม นั่นเอง
โดยในตัวเลือกนั้นคุณสามารถเลือกได้ว่า จะโดยสารไปกับรถบัสของ เขาเที่ยวเดียว (Airport to Cruise) หรือ กลับ เที่ยวเดียว (Cruise to Airport) สำหรับคนที่ อาจจะมีคนมาส่ง แต่ไม่มีคนมารับ และ คนที่มีคนมารับแต่ขามาไม่มีคนมาส่ง อะไรแบบนี้ หรือจะ ทั้งไปทั้งกลับกับรถบัส (All Ground Transfers) ของเขาเลยก็ได้เช่นกัน
หมายเหตุ* : ที่อยู่ที่กรอก จะต้องเป็นที่อยู่บ้านเราจริงๆ และ เป็นภาษาอังกฤษ ห้ามกรอกเล่นๆ เพราะว่าเขาจะส่งเอกสารมาให้ที่บ้านเรา (ในประเทศไทย) ก่อนเดินทางจริงๆ ทางจดหมายลงทะเบียน FedEX
หมายเหตุ : ราคาค่าโดยสารกับรถบัส เที่ยวละ $35.00 ต่อคน อย่างของผมคือ ไปกลับกับรถบัส จำนวน 2 คน ก็คือ $140.00 ไม่ขาดไม่เกิน ($35.00 x 2 คน x 2 เที่ยวไปกลับ)
จดหมายยืนยันการจองตั๋วและห้องพัก เรือ Disney Dream
หลังจากที่ได้ทำการจองห้อง กรอกข้อมูลส่วนตัว รายละเอียดทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ระบบก็จะส่งอีเมล์ มายืนยันให้เราทราบว่า รายละเอียดการจองเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าจะยกเลิกต้องทำอย่างไร และได้เงินคืนเท่าไหร่บ้าง กรุณาเก็บรักษาอีเมล์ฉบับนี้เอาไว้เป็นอย่างดี เพราะมันสำคัญมากๆ ควรจะพิมพ์ออกมาใส่กระดาษ ส่งต่อ (Forward) ให้เพื่อนร่วมเดินทาง หรือ เก็บสำรองเอาไว้เป็น PDF ส่วนตัวผมใช้ โปรแกรม Doro PDF Writer ในการแปลงไฟล์จากอีเมล์เป็น PDF
สำหรับผม หากสังเกตุดูดีๆ คือว่าได้ทำการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต ในวันนั้น (วันที่จอง) เลยยอดเงินคงเหลือ (Balance Due) เลยเป็น $0.00 สังเกตุเห็นว่าตรง “Stateroom” นั่นคือ เราจะได้หมายเลขห้อง ณ วันที่เราจองเลย ซึ่งผมได้ ห้อง 6178 นั่นหมายความว่าอยู่ “Deck 6” ห้องหมายเลข “178” นั่นเอง
เพื่อความปลอดภัย ผมจองล่วงหน้าก่อนวันขึ้นเรือประมาณ 2 เดือนครึ่ง (จองวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 2014 และ เรือออกวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 2014)
ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากๆเลยค่ะ ได้จองไปเรียบร้อยแล้ว
คราวนี้พยายามหาในเอกสารของดีสนีย์ว่าหากไปทางครูสจะ “ไม่ต้องใช้วีซ่าบาฮามาส” จะสามารถดูได้จากตรงไหนไหมคะ พอดีกลัวจะมีปัญหาตอน check-in
สวัสดีครับคุณThanop ผม ไก่ครับ ถามหน่อยครับว่าเรือ Disney dream มีบริการฟรี wifi ม้ัยครับ หรือ ถ้าเราต้องการ wifi สามารถ ซื้อในเรือได้มั้ยครับ ราคาเท่าไหร่ มีแพคเก็จwifi มั้ยครับ ขอบคุณครับ
มีครับผม ตอนผมไปเรตราคา ตามปริมาณ Bandwidth หรือ ข้อมูลที่รับส่งครับ ตอนของผมไป ไม่มีราคาโปรโมชั่น (Promotional Price) นะครับ มีแต่ ราคาปกติ (Regular Price) ครับ ราคาค่อนข้างแพงมาก ห้ามเปิดคลิปเลยทีเดียว เพิ่งรู้สึกว่า การใช้อินเทอร์เน็ตมีค่า ก็ตอนนี้แหละครับ ส่วนราคาเรต ก็ตามลิงค์ด้านล่างนี้เลยนะครับ
http://disneycruiselineblog.com/wp-content/uploads/2014/01/DCL-Connect-at-Sea-Data-Plans-Magic-Feb-2014-Introductory-Pricing.jpg
ขอบคุณที่มารีวิวค่ะ มีแพลนจะไปเที่ยวทางแถบนั้นช่วงปลายปี เดินทางจากซิดนีย์ มีเวลา 7 อาทิตย์ เริ่มต้นทริปจากแคนาดาเที่ยวโตรอนโต้ ออตตาวา มอนทรีออล แล้วสกีอีก 1 อาทิตย์ จากนั้นมาบอสตัน นิวยอร์ค เช่ารถจากนิวยอร์ค แล้วขับลงใต้มาเรื่อย ๆ จนถึงไมอามี่ ปิดทริปที่ Bahamas พออ่านเจอรีวิวของคุณเลยคิดจะขับมาแค่ออแลนโด้ซะแล้ว 555 มีแนวโน้มจะไป Disney cruise 80% แล้วค่ะ จากตอนแรกว่าจะจัดทริปไป scuba dive ที่ Bahamas แต่คิดไม่ตกเพราะต้องนั่งเครื่องกลับมาซิดนีย์อีก ขอบคุณมากที่มารีวิว ได้ข้อมูลมากมายแถมเขียนได้ดีจนเทใจไปกะ Disney cruise แล้วค่ะ
โหดมากครับ ได้เที่ยวตั้ง 7 สัปดาห์ ส่วนเรื่องเรื่องดิสนีย์ นั้น ขอบอกว่าน่าไปเที่ยวมากๆ ครับ นี่ผมเองก็เพิ่งกลับมาจาก เรื่อง Disney ครับ (พอดีไปมาอีกรอบ) คราวนี้ไปมา 8 วัน 7 คืน เลย ชอบมากๆ (นี่ขนาดไปมาครั้งที่ 2 แล้วนะ) ยังไงต้องไปอีกครับ
ขอบคุณมากๆเลยค่ะ สำหรับริวิว เขียนและอธิบายให้เข้าใจตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ได้สาระและความรู้มากเลยค่ะ!
กำลังจะไปเที่ยว Eastern Carribean เดือนกุมภาพันธ์ 2017 แต่ไปของ Royal Carribean .
ได้อ่านจากประสบการณ์ของคุณธนพแล้ว เหมือนเรียนรู้ทางลัดเลยค่ะ เขียนได้ละเอียดมากจริงๆเลย สุดยอดค่ะ!
ด้วยความยินดีนะครับผม คุณกนกวรรณ 🙂
รีวิวละเอียดยิบมากเลย ชอบมากค่ะ มีประโยชน์สำหรับคนที่กำลังแพลนจะไปอย่างมาก มีภาพประกอบตลอดๆด้วย อ่านไม่เบื่อเลยค่ะ ถึงจะยาว 6พันคำ ก็อ่านทีละบรรทัดรวดเดียวจบนะคะ 55 ขอบคุณนะคะสำหรับรีวิวดีๆ
อยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ กำลังจะไป Florida กุมภานี้ค่ะ ขอเล่าเรื่องแพลนของเราคร่าวๆก่อนนะคะ
เราวางไว้หมดแล้วว่าวันไหนไปไหนทำอะไร แต่การเดินทางเป็นอะไรที่ยากและคิดไม่ตกจริงจังค่ะ เลยอยากได้คำแนะนำค่ะ ไปทั้งหมด 17 วัน 15 คืนค่ะ (รวมเดินทาง)
วันแรก เดินทางไปถึง Miami ประมาณ 5 โมงเย็นค่ะ แล้วจะดิ่งไปนอนที่ Disney World เลย เพราะ 3วันต่อมาจะลุยอยู่ในนี้ค่ะ จากนั้นก็ไป Universal 2 วัน ตามด้วย Disney Cruise 8 วัน แล้ววันที่กลับเข้าฝั่งก็ฟรี 1 วัน แล้วถึงจะเดินทางกลับกรุงเทพตอนเย็นวันต่อมาค่ะ
ประเด็นที่หนึ่งคือ บินไปลง Miami ถ้าจะบินต่อไป Orlando ก็แค่ชั่วโมงเดียว แต่ไหนจะรอเอากระเป๋า ตรวจคนเข้าเมือง เช็คอินอีกรอบ รอเครื่อง แล้วที่สำคัญ ถ้า Flight ที่จะถึง Miami ดีเลย์ นี่ยุ่งเลย แล้วบินภายในประเทศก็แพง จำกัดน้ำหนักกระเป๋าอีก แค่เริ่มต้นก็มึนแล้วค่ะ
แต่ถ้าเช่ารถไป ก็ขับไป 3 ชั่วโมง สะดวกดี แต่เราจะอยู่ในสวนสนุกอย่างเดียวจริงๆ รถเหมือนจะเช่ามาเพื่อมาจอด คุณธรรณพว่าเราควรไปยังไงดีคะ
ปัญหาการเดินทางอย่างที่สองคือ จาก Disney World ไป Universal คงต้อง Taxi ใช่มั้ยคะ แต่ราคาจะสูงมั้ยคะ หรือมีช่องทางอื่นแนะนำมั้ยคะ อันนี้คือเราย้ายไปนอนที่ Universal ด้วยนะคะ
ต่อมาจาก Universal ไป Port Canaveral เท่าที่เช็คมาคือ Universal มีรถไปส่งที่สนามบิน Orlando แล้ว Disney Cruise ก็มีรถมารับที่นี่ แต่ถ้าอย่างนี้คือต้องเสียค่ารถคนละ USD55 เราไป 3คน ทั้งหมดก็ USD165 อย่างนี้นั่ง Taxi ตรงไปเลยจะคุ้มกว่ามั้ยคะ หรือจะแพงกว่าคะ
ปัญหาการเดินทางสุดท้ายคือ จาก Port Canaveral จะกลับไปสนามบิน Miami เนื่องจากเราจะฟรีวันที่กลับเข้าฝั่ง แล้วก็ครึ่งวันเช้าของวันที่เราต้องบินกลับกรุงเทพ เราก็อยากไปซื้อของฝาก ช้อปปิ้ง แล้วไหนจะกระเป๋าเดินทางอีก เลยอยากเช่ารถ ก็เลยกะว่า คงต้องยอมเช่า One-Way แล้วขับจากท่าเรือ แล้วเที่ยวเลาะๆไป แล้วไปนอนแถวๆสนามบิน หรือควรบินกลับจาก Orlando ไป Miami ดีคะ แล้วค่อยไปเช่ารถจากที่นั่น
รบกวนด้วยนะค้า
สวัสดีครับคุณ Dew
ผมขอตอบเป็นประเด็นๆ ตามที่คุณ Dew ถามมาดังต่อไปนี้นะครับ
ประเด็นแรก :
เรื่องการต่อ Flight ไม่ต้องห่วงครับ ถ้าหากเป็นสายการบินเดียวกัน น่าจะพอครับ และส่วนมาก Flight ที่คุณบินมาถึง Miami นั้นน่าจะเป็น Flight บินไกลแน่ๆ ซึ่งแน่นอน Flight บินไกลๆ ส่วนมากแล้วจะบินมาถึงก่อนเวลานะครับ ไม่ค่อยจะดีเลย์เท่าไหร่ ส่วนเรื่องการเช่ารถแล้วขับขึ้นไป Orlando เพื่อไปเล่นสวนสนุกอย่างเดียวนี่บอกตรงๆ ว่าไม่คุ้มอย่างแรงเลยครับ เพราะไหนจะค่าเช่ารถ ไหนจะค่าจอดรถภายในสวนสนุก Disney World อีก ไม่คุ้มมากๆ เลยครับ
ประเด็นที่สอง :
เรื่องการนั่งแท็กซี่จาก Disney World ไป Universal นั้น ค่าแท็กซี่ขาเดียว เที่ยวละ ประมาณ $30.00 (ไปกลับก็ประมาณ $60.00) ตอนนั้นผมพักที่ Holiday Inn Orlando SW – Celebration Area (ลอง Search ดูใน Google ได้) มันจะอยู่ปากประตู Disney World นะครับ การเดินทางช่องทางอื่นคือ พอดีที่โรงแรมผมจะมีรถ Shuttle Bus วิ่งไปที่ Universal เหมือนกัน แต่ข้อจำกัดคือ ต้องไปตามเวลา กลับตามเวลาเขา (ขออภัยผมจำเวลาไม่ได้) ส่วนราคาผมก็จำไม่ได้อีก 555 แต่ถูกกว่านั่งแท็กซี่มากๆ แน่นอนครับ ลองถามที่ล็อบบี้ของโรงแรมดูนะครับ
ประเด็นที่สาม :
การนั่งรถไป Port Canaveral ตามที่คุณ Dew บอกครับ ถ้าไปกันเยอะ 3 คน นั่ง Taxi ตรงไปลงที่ Port Canaveral เลยจะดีกว่าครับ เพราะไม่อย่างนั้นต้องนั่งแท็กซี่ไปลงสนามบิน และจากสนามบินต้องเสียค่ารถบัส ให้ Disney ไปเป็นรายหัวอีก ตรงไปเลยดีกว่าครับ
ประเด็นที่สี่ สุดท้าย :
ถ้าถามผม เช่ารถจาก Orlando ไปดรอปลง Miami ก็ได้ครับ จะได้เที่ยวลัดเลาะ และ ดูวิวข้างทาง ไปด้วย แต่เช่ารถไปดรอปคนละที่กันแพงกว่าพอสมควรนะ แต่ผมคิดว่าคงถูกกว่า ค่าเครื่องบิน Flight จาก Orlando -> Miami ของทั้ง 3 คนรวมกันนะครับ
มีอะไรสอบถามผมเพิ่มเติมได้เลยนะครับ ขอให้สนุกกับการเดินทางนะครับ 🙂
ประเด็น
ขอบคุณมากๆค่ะสำหรับคำแนะนำ พึ่งกลับมาสดๆร้อนๆเลยค่ะ เดินทางตามที่คุณธรรณพแนะนำ แต่ใช้บริการ Uber แล้วมี Promotion Code เลยยิ่งถูกไปอีก ต้องขอขบคุณอีกครั้งค่ะ
ราคา 60,000 กว่าอะครับ
ไม่รวมค่าเครื่องที่ไปขึ้นเรือใช่มั้ยครับ
ไม่รวมครับผม ค่าเครื่องต่างหากครับ แต่ 6 หมื่นนี่ สำหรับ 2 คนนะครับ ไม่ใช่ต่อคน ก็ตกประมาณ คนละ 30,000 หารออกมาก็วันละหมื่นบาท / คน ครับผม
รีวิวดีมากๆ เลยค่ะ อ่านตามแล้วได้ความรู้สึกดี ภาพก็เยอะ ขอเพิ่มเติมนิดนึงเรื่องโรงแรม… ถ้าจะพักคืนนึงที่ Orlando ก่อนจะขึ้นเรือ พักที่โรงแรมในสนามบินออร์แลนโด (MCO) เลยก็ได้ค่ะ จะสะดวกกว่าเยอะเลย
ขอบคุณมากๆ นะครับสำหรับคำแนะนำ ผมก็เห็นด้วยกับคุณ pearlelpis เหมือนกันว่าควรจะให้อยู่โรงแรมในสนามบินเลย ถึงอาจจะแพงกว่าข้างนอกหน่อย แต่ก็ประหยัดค่าเดินทางอย่างแท็กซี่ ไปได้เยอะเลยครับ
ขอบคุณมากค่ะ เป็นสถานที่ในฝันเลย อยากสอบถามด้วยว่าถ้าไปเส้นทางเดียวกับคุณจะต้องทำวีซ่าเข้าบาฮามาสไหมคะสำหรับเข้า นาซอร์ กับ castaway kays
เส้นทางที่คุณไปชื่ออะไรคะ
เคยดูเวปแต่กลัวต้องทำวีซ่าที่ไม่มีสถานฑูตในไทยค่ะ
ขอบคุณจากใจค่ะ มีประโยชน์มาก
“ไม่ต้อง” ทำวีซ่าของประเทศ Bahamas ครับทางเรือ Disney เขาจะพาเข้าให้เลย น่าจะอารมณ์ประมาณให้เข้าได้ชั่วคราว และคงจะมีข้อตกลงกันไว้ครับ เส้นทางที่ผมไปไม่ทราบเหมือนกันว่าชื่ออะไรครับ แต่เป็นแพคเกจแบบ 4 วัน 3 คืน จะเป็น
Port Canaveral -> Nassau -> Castaway Cay -> Port Canaveral
คุณพี่ขา อยากทราบว่าค่าขึ้นเรือตกคนละเท่าไกร่อะค่ะ 3 คืน อ่ะค่ะ
ตอนผมไป 2 คนคือประมาณ 6 หมื่นนะครับ ก็สรุป คนละประมาณ 3 หมื่นนิดๆ ครับ ลองเข้าไปดูในเว็บได้เลยนะครับ
คุณพี่ค่ะ จาก new york ไป disney world, universal orlando ลงที่สนามบิน MCO ใข่รึเปล่าค่ะ ถามเพื่อความชัวร์ 2. จาก orlando ไปหาด ไมอามี่ หนูจะนั่งรถ เกรย์ฮาว ไป ดีรึเปล่าค่ะไปกับเพื่อน อีก 1 คน 3. NASA อยุ่ที่ไมอามี่ ใช่มั้ยค่ะ หนูว่าจะไปเที่ยว แล้วค่อยขึ้นเรือ disney dream ที่ ไมอามี่ ตอนนี้ หนูจอง ตั๋ว ไปกลับ bkk-jfk กับ เรือ disney dream แล้วค่ะ 4. นั่งเรือเสร็จหนูจะกลับมา new york สนามบินที่ไมอามี่ ชื่อ MIA ใช่รึเปล่าค่ะ หนูเหลือ จองตั๋วบินในประเทศ เพราะยังไม่ชัวร์ เรื่องสนามบิน รู้สึกสับสนอะค่ะ รบกวนหน่อยนะค่ะ ขอบคุณมากๆค่ะ
พี่ค่ะ จะขึ้นเรือ disney dream ที่ port Canaveral คือ ท่าเริอ อยุ่ในออแรนโด้ นี้ใช่มั้ยค่ะ ไม่ได้อยุ่ที่ maimy ใช่มั้ยค่ะ รู้สึกสับสน ขอบคุณมากๆค่ะ