ขับรถในอเมริกา Driving in USA
หลังจากที่ได้เขียนบทความเรื่องของ วิธีเช่ารถในอเมริกา แบบละเอียดยิบ เพื่อให้ผู้ที่อ่าน ในบล็อก Thanop.com ของผมได้ประโยชน์สูงสุด จึงเขียนอีกบทความ คือบทความการ ขับรถในอเมริกา (Driving in USA) อันนี้ เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ การขับรถในอเมริกา ให้ทุกท่าน ที่กำลังแพลนจะไปขับรถเที่ยว (Road Trip) หรือ กำลังจะย้ายไปอยู่ที่นั่น ได้อ่านกัน
เกริ่นนิดนึงก่อนคือ ตอนก่อนที่ผมจะไปขับนั้น มีหลายคนบอกผมว่าขับยากนักยากหนา น่ากลัว อันตราย ระวังโดนบีบแตรไล่ โดนตำรวจจับ นะ อย่างโน้นอย่างนี้ เหตุที่เขาเตือนผม เพราะเป็นห่วงเรา และ เราไปต่างบ้านต่างเมืองมากกว่า ขอบอกว่า มารยาทการขับรถของคนที่โน่นดีกว่าบ้านเรามาก (ไม่ได้อยากเปรียบเทียบนะ แต่พูดเรื่องจริงครับ)
โดย นิสัยหรือพฤติกรรม การขับรถ ในหลายๆ อย่างที่เรา ดูแล้วอาจจะใช้กับการขับรถในเมืองไทย บ้านเราได้ แต่มันอาจ ไม่สามารถใช้ได้กับการ ขับรถในอเมริกา ได้ โดยบทความนี้ เป็นการแก้ไขครั้งใหญ่ เป็นครั้งที่ 2 (จากของเดิม อยู่บล็อกเดิมนี่แหละ) เพราะ ได้เก็บเกี่ยว ประสบการณ์การขับรถ ที่ได้ไปขับมามากขึ้นนั่นเอง
ตอนที่เขียนบล็อกครั้งแรกนั้น ผมไปลองขับมาแค่ครั้งเดียว (ประมาณ 3 อาทิตย์) (ช่วงเดือนมีนา ปี ค.ศ. 2013) หลังจากนั้นจนถึง อัพเดทบล็อคล่าสุด (ตุลาคม ค.ศ. 2019) ก็ได้มีโอกาสไปอเมริกามาอีก 6 รอบ ได้มีโอกาส ขับรถทุกครั้งที่ไป จนถึงวันนี้ รวมๆ กันแล้ว ประสบการณ์ ก็น่าจะเกิน 20,000 กิโลเมตร เห็นจะได้ ทั้งฝั่งตะวันออก และ ฝั่งตะวันตก ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็ได้ ประสบการณ์ ที่เก็บเกี่ยวมา มากขึ้นไปอีกพอสมควรเลย เลยขอมาอัพเดทกันอีกรอบ
ก็ขอสรุปมาให้ฟังอย่างละเอียดยิบทั้ง 17 ข้อนี้เลยครับ อาจมีถูกบ้างผิดบ้าง ติชมกันได้ครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า ลุยยย …
- สหรัฐอเมริกา ขับพวงมาลัยซ้าย (Right-Hand Traffic)
- จำกัด ความเร็วสูงสุด สำคัญที่สุด ! (Maximum Speed Limit)
- มีจำกัด ความเร็วขั้นต่ำ (Minimum Speed) ด้วยนะ
- ป้าย “Ped Xing” คืออะไร มีให้เห็นอยู่ทั่วไป
- ทุกสี่แยก หรือ สามแยก สามารถกลับรถได้
- ขับรถในอเมริกา เลี้ยวขวาผ่านตลอดทุกแยก นะจ๊ะ
- Carpool Lane โดยมากกว่าหนึ่งคน ได้เปรียบ
- Metro Express Lanes ช่องทางจราจรพิเศษ เร็วว่าใครแต่จ่ายตังค์
- การเข้าคิว สลับกันมา สลับกันไป สำคัญที่สุด !
- การเปลี่ยนเลน หรือ เปลี่ยนช่องทางจราจร
- ป้าย “STOP” ต้อง STOP หยุดคือหยุด
- ออกทางออก (Exit) ผิดอย่าคิดถอยหลังกลับ !
- จอดรถในอเมริกา นิยมเอาหน้ารถเข้าจอด มากกว่าการ ถอยหลังเข้าซอง
- การเติมน้ำมันเอง ในประเทศสหรัฐอเมริกา
- การนำทาง ผ่านด้วย App แผนที่ต่างๆ
- การจ่ายเงินค่าผ่านทาง ตามด่านเก็บค่าผ่านทาง ต่างๆ
- หากโดนตำรวจจับ จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ?
ผมจะขอเล่ายาวๆ ไปแบบ 17 ข้อ ร่ายยาวกันไปเลย หากสงสัยข้อไหน ก็สามารถส่งคอมเม้นท์ มาสอบถาม หรือ มาแชร์ประสบการณ์เพิ่มเติม กันได้ ที่กล่องโพสคอมเมนท์ด้านล่างของหน้านี้นะครับ และถ้าผมมีเวลา จะรีบเข้ามาตอบกลับ ให้โดยทันที หากคำแนะนำตรงไหนมีประโยชน์ ผมขอน้อมรับ และ นำไปอัพเดท เพิ่มเติมในบทความด้วยครับ เพื่อไม่ให้เสียเวลา เริ่มกันเลยดีกว่า
1. สหรัฐอเมริกา ขับพวงมาลัยซ้าย (Right-Hand Traffic)
คิดว่าข้อนี้หลายคนคงรู้อยู่แล้วว่าที่ประเทศสหรัฐอเมริกา (USA) เป็นประเทศที่ขับรถด้วยพวงมาลัยซ้าย ดังนั้นคำศัพท์ที่พูดๆ กันอาจจะไม่คุ้นหูคุ้นตาสักเท่าไหร่ เช่น เลี้ยวขวาผ่านตลอด (บ้านเราเจอแต่ เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด) ขับแช่ซ้าย (บ้านเราเจอแต่ ขับแช่ขวา) อะไรแบบนี้เป็นต้น คำเหล่านี้ในข้อต่อๆ ไปคงจะได้เห็นกัน อย่าเพิ่งงงนะครับ
ผมมีข้อเท็จจริง เพิ่มเติมเกี่ยวกับรถขับพวงมาลัยซ้าย และ พวงมาลัยขวา มาแจ้งให้ทราบ สำหรับใครที่ยังไม่รู้มาก่อน
จากภาพด้านบนแสดงให้เห็นว่า มีอยู่ไม่กี่ประเทศ ที่ขับรถด้วยพวงมาลัยขวา (เหมือนประเทศไทย บ้านเรา) และ ส่วนมากจะเป็นประเทศที่ได้รับวัฒนธรรมมาจากประเทศอังกฤษ (สหราชอาณาจักร) หรือพูดง่ายๆ เคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษเสียส่วนใหญ่ (ยกเว้นประเทศไทย และ ญี่ปุ่น) ประเทศเด่นๆ ที่ขับรถด้วยพวงมาลัยขวา ก็เห็นจะมี อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ส่วนที่เหลือไม่ต้องพูดถึง พวงมาลัยซ้าย หมดแค่เจอ จีน รัฐเซีย และ สหรัฐอเมริกา ไปก็กินไปค่อนโลกแล้วละครับ
หมายเหตุ : สาเหตุ ที่รถขับพวงมาลัยซ้าย เค้าจะเรียกว่า Right-hand Traffic เพราะว่าถนนสองฝั่งรถวิ่งไปข้างหน้าทางขวา (เพราะขับด้วยพวงมาลัยซ้าย) ↓↑ ส่วนบ้านเราจะเป็น Left-hand Traffic คือการขับพวงมาลัยขวา เพราะวิ่งไปข้างหน้าทางซ้าย ↑↓ (หวังว่าคงไม่งง นะครับ)
2. จำกัด ความเร็วสูงสุด สำคัญที่สุด ! (Speed Limit)
เรื่องการจำกัดความเร็ว หรือ สปีดลิมิต (Speed Limit) นั้น ความจริง ก็ไม่ได้สำคัญแค่เฉพาะที่ ประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างเดียว แต่มันเป็นหนึ่งในกฏจราจร ที่ทุกประเทศทั่วโลก (รวมถึงประเทศไทยเราด้วย) ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เพราะมันเกี่ยวกับเรื่องของความปลอดภัย ของผู้ใช้รถบนท้องถนน ที่สัญจรไปมา รวมไปถึงคนเดินเท้า คนเดินถนน (Pedestrian) รอบๆ ด้าน อีกด้วยเช่นกัน
การคำนวณหน่วยวัดความเร็วที่ ประเทศสหรัฐอเมริกา นี้จะใช้หน่วยเป็น ไมล์ต่อชั่วโมง (Miles per Hour – mph)* ซึ่งบ้านเรา ประเทศไทย จะใช้หน่วยวัดเป็น กิโลเมตรต่อชั่วโมง (Kilometers per Hour – km/h) ซึ่งตรงจุดนี้ต้องระวังให้ดี เพราะหากคนไทย เวลาไปใหม่ เวลสขับรถจะเห็นตัวเลขความเร็ว ที่น้อยกว่า บางทีขับเพลิน เพราะชินกับบ้านเรา ที่วัดหน่วยเป็นกิโลเมตรต่อชั่วโมง
อย่างเช่นป้ายในรูปด้านบนเขียนระบุว่า “Speed Limit 80” นั่นหมายความว่าเราจะขับเร็วได้ไม่เกิน ประมาณ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นั่นเอง ซึ่งเราสามารถปัดเศษขึ้นได้นิดหน่อย
(แต่ส่วนมากแล้ว หน้าปัดความเร็วบนรถใน ประเทศสหรัฐอเมริกา จะมีให้ดูทั้งแบบ ไมล์ต่อชั่วโมง และ มีหน่วยเล็กๆ เป็นกิโลเมตร ต่อชั่วโมงเช่นกัน ดูรูปประกอบด้านล่าง)
และจากประสบการณ์ตรงเวลาขับตามถนนใหญ่ๆ ฟรีเวย์ (Freeway) ข้ามรัฐต่างๆ เราจะเห็นป้ายจำกัดความเร็ว (Speed Limit Sign) อยู่ที่ ประมาณ 70 mph ซึ่งโดยทั่วไป ก็จะขับได้ ไม่เกินประมาณ 110-115 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เห็นบางที รถคันอื่นๆ ขับกัน 80-85 mph หรือ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถามว่าได้ไหม คำตอบคือ “ไม่ได้” (ถ้ามีตำรวจ ฮาๆ)
เพื่อนผมที่อยู่มานาน บอกว่าจริงๆ แล้วการขับ เกินกว่าความเร็วที่กำหนด ก็สามารถขับได้เช่นกัน ขับเป็นการขับตามๆ คันอื่นไป แต่ว่า อย่าให้เร็วแบบเกินหน้าเกินตา ชนิดแบบ ปาดขวาแซงซ้าย (บ้านเราเรียก ปาดซ้ายแซงขวา) เหมือนที่เห็นในบ้านเราบ่อยๆ แบบนั้น นอกจากจะเพิ่มโอกาสเกิดอุบัติเหตุแล้ว ยังทำตัวเด่น สร้างจุดสนใจให้กับตำรวจ ได้อีกด้วยเช่นกัน
อีกสิ่งนึงที่การ ขับรถในอเมริกา จะต้องระวังคือ การสังเกตป้ายจำกัดความเร็วเท่าที่เห็นมีอยู่สองแบบหลักคือแบบที่เขียนว่า Speed Enforced by Radar และ Speed Enforced by Aircraft ซึ่งแบบแรก จะเป็นกล้องจับความเร็วที่อยู่บนรถตำรวจ ซึ่งจะซุ่มจอดอยู่ตาม ทางเข้าออกไฮเวย์ (Highway Ramp) คล้ายๆ ปืนยิงข้างรถ หรือไม่ก็อยู่ในกล่องติดตั้งอยู่ข้างถนน (เหมือนของบ้านเรา นั่นเอง)
หมายเหตุ* : เปรียบเทียบ 1.0 ไมล์ เท่ากับ 1.60934 กิโลเมตร โดย วิธีการคำนวณระยะทาง ระหว่างกิโลเมตรต่อชั่วโมง (km/h) และ ไมล์ต่อชั่วโมง (mph) ของผมง่ายๆ มีอยู่ 2 วิธีคือ
- ผ่านหน้าเว็บ Google : พิมพ์ตัวอย่างง่ายๆ ว่า “80 Miles to KM” ใส่ตรงช่องค้นหาปกติ ผลลัพธ์ออกทันที
- ผ่านแอพ LINE Tools : ดาวน์โหลด แอพ LINE Tools ติดมือถือเอาไว้ ใช้กรณีที่ หากไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้
3. มีจำกัด ความเร็วขั้นต่ำ (Minimum Speed) ด้วยนะ
การขับรถที่ ประเทศสหรัฐอเมริกา นี้ตามท้องถนนบางสาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตาม ไฮเวย์ ฟรีเวย์ ที่วิ่งตัดผ่านเมืองใหญ่ๆ เราอาจจะ ได้เห็นป้ายจำกัดความเร็วขั้นต่ำ (Minimum Speed) เอาไว้ด้วยเช่นกัน พูดง่ายๆ คือ ห้ามขับช้ากว่าความเร็วที่กำหนด ซึ่งอาจจะดูเป็นเรื่องแปลก สำหรับเราคนไทยสักนิด ที่จะคุ้นเคยแต่การจำกัดความเร็วสูงสุด เอาไว้อย่างเดียว
แต่ที่นี่ บางครั้งการทำตัวชักช้า ขับช้า ในชั่วโมงเร่งด่วน (Rush Hour) ก็อาจเป็นการ สร้างภาระรถติด ให้กับคนอื่นได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงมีป้ายจำกัดความเร็วขึ้นต่ำ ที่มักจะเขียนว่า “Minimum Speed 40” นั่นก็คือ คุณห้ามขับรถ ด้วยความเร็วที่ต่ำกว่า 40 mph นั่นเอง มิเช่นนั้นก็ผิดกฏหมาย อาจโดนตำรวจเรียกได้อีกด้วยเช่นกัน ว่าทำไมขับช้าจัง 🙂
4. ป้าย “Ped Xing” คืออะไร มีให้เห็นอยู่ทั่วไป
เวลาที่เรา ขับรถใน ประเทศสหรัฐอเมริกา คุณจะเห็นคำว่า “Ped Xing” (สารภาพตามตรงว่า ตอนที่ผมเห็นมันแว๊บแรก ผมอ่านว่า “เซ็งเป็ด” ๕๕๕) ให้เห็นอยู่ทั่วไป โดยคำนี้ อาจดูเหมือนภาษาจีนนิดๆ จริงๆ นะไม่เกี่ยวเลย เพราะมันย่อมาจากคำว่า “Pedestrian Crossing” หรือ สื่อความหมายได้ว่า “ให้ระวังคนกำลังข้ามถนน” นั่นเอง โดยบ้านเรา มันก็คือ ทางม้าลาย นั่นแหละ โดยลักษณะ ก็จะเป็นไฟกระพริบๆ สลับกันไปมา บนล่าง หากมีคนข้ามถนน ไม่ว่าจะกรณีใดๆ ก็ตามเราจะต้องหยุดให้คนข้ามถนนไปก่อน เราคนขับรถ จะไม่มีสิทธิ์ไปบีบแตรไล่ คนกำลังข้ามถนน เหมือนเมืองไทย
โดยส่วนมากป้าย “Ped Xing” นั้นจะอยู่ตาม ถนนตรอกเล็กๆ มากกว่า เพราะหากเป็นถนนใหญ่จริงๆ จะใช้ทางม้าลาย หรือ ไฟจราจร เปิดสัญญาณ เพื่อให้คนข้ามถนน มากดปุ่มขอข้ามถนน ที่แยกไฟแดง หลังจากนั้น สักพักไฟจราจรจะเป็นไฟแดง ผู้ขับขี่จะต้อง หยุดรถให้สนิท ! ขณะคนกำลังข้ามถนน หรือแม้กระทั่ง จุดข้ามถนนนั้น ไม่มีขณะไฟแดงแต่มีคนข้าม ก็ต้องหยุดรถให้คนข้ามถนนไปก่อนเช่นกัน เพราะ ที่นี่คนเดินข้ามถนน เป็นพระเจ้า หากไม่เชื่อ ในทางกลับกัน คุณลองเดินข้ามถนนดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่า ตัวคุณสำคัญแค่ไหน มีรถหยุดให้ตลอด
(แนะนำว่า อย่าไป เสี่ยงข้ามถนน ในถนน ที่รถวิ่งเร็วๆ นะ อาจจะเละเป็น โกโก้ครั้นช์ ได้เช่นกัน พวกนั้นต้องรอสัญญาณไฟจราจร ให้เป็น ไฟแดง ด้วยเช่นกัน บางแยกมีปุ่มกดว่าต้องการจะข้ามถนน ตรงเสาไฟจราจร ด้วยละ)
5. ทุกสี่แยก หรือ สามแยก สามารถกลับรถได้ (ถ้าไม่มีป้ายห้าม)
ทุกสี่แยก หรือ สามแยก คุณจะสามารถกลับรถได้ อ่านแบบนี้แล้ว อย่าเพิ่งงง กันนะครับ คุณไม่ได้ตาฝาดแน่นอน เพราะเกือบทุกแยก (Junctions) ไม่ว่าจะเป็นทั้ง 4 แยก หรือ 3 แยก ของ ถนนใน ประเทศสหรัฐอเมริกา เราจะสามารถ “กลับรถ หรือ U-Turn” ได้ ถ้าไม่มีป้ายห้ามกลับรถ ย้ำ ! ถ้าไม่มีป้ายห้ามกลับรถ (No U-Turn) นะ
โดยจากภาพประกอบ ด้านบน จะเป็น 3 แยกทางขวา (เลี้ยวขวาได้) การปฏิบัติคือ เมื่อใกล้ถึงแยกดังกล่าว ขอให้คุณนำรถเข้ามาจอดไว้ที่เลนซ้าย ตามเส้นสีแดง และ เมื่อทางเรา ได้รับสัญญาณไฟเขียว ให้ตรงไปได้ (แต่คุณต้องการกลับรถ ถูกมั้ยครับ) คุณอาจจะต้องจอดรออีกสักครู่ เพื่อให้รถฝั่งตรงข้าม (ฝั่งที่คุณกำลังจะกลับรถไปหา) วิ่งหมด พ้นแยกไปเสียก่อน หลังจากนั้น ก็จะสามารถกลับรถได้เลยทันที ตามเส้นลูกศรสีแดง (ถ้าไฟยังเขียวอยู่นะครับ หากรอไปรอมาเกิด ไฟแดง อีกรอบ ก็ต้องจอดรอ ไฟเขียวรอบหน้า ต่อไปก่อนนะ)
แต่ว่า ถ้าหากทางตรงของเราเป็นไฟแดง ถึงแม้จะไม่มีรถวิ่งมาจากด้านใด ด้านหนึ่ง ก็ตาม ก็จะไม่สามารถกลับรถได้ในทุกรณีนะครับ (แต่ก็แอบเห็นฝรั่งเขาก็ทำกัน) ซึ่งแยกที่สามารถกลับรถได้ ส่วนมากจะเป็นแยกเล็กๆ ไม่ว่าจะเป็น 4 แยกก็ดี หรือ 3 แยกก็ดี ก็จะสามารถกลับรถได้ หรือ อาจจะเป็นถนนใหญ่ตัดกับถนนเล็ก ก็อาจจะสามารถกลับรถได้เช่นกัน
ในทางกลับกัน หากเป็นแยกใหญ่ ที่ถนนใหญ่สองเส้นมาตัดกัน โดยส่วนมากแล้ว แยกลักษณะแบบนี้ อาจจะกลับรถไม่ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับแยกนั้นๆ ว่ามีป้ายห้ามกลับรถ (No U-Turn) หรือไม่ ดังนั้นการ ขับรถในอเมริกา ต้องสังเกตดีๆ เสียก่อนนะ ไม่งั้นจะโดนใบสั่ง (Ticket) ได้ โดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
6. ขับรถในอเมริกา เลี้ยวขวาผ่านตลอดทุกแยก นะจ๊ะ
อยู่เมืองไทยเราคงเคยได้ยินคำว่า เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด แต่การ ขับรถในอเมริกา เราจะได้ยินแต่คำว่า เลี้ยวขวาผ่านตลอด ก็แหงละ มันขับรถพวงมาลัยซ้ายนิ หรือระบบการ เดินรถทางขวา (Right-hand Traffic) นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ ก็จะต้องเป็นการ เลี้ยวขวาผ่านตลอด แทน
ที่นี่ทุกแยก ไม่ว่าจะเป็นสามแยก หรือ สี่แยก เราสามารถเลี้ยวขวาผ่านตลอดได้ทั้งหมด ยกเว้นอาจจะมีบางแยกที่เขียนป้ายว่า “NO TURN ON RED” นั่นหมายความว่า คุณจะสามารถ เลี้ยวขวาได้เมื่อได้รับสัญญาณไฟเขียว เท่านั้น (ลองดูตัวอย่าง ป้ายลักษณะนี้ได้ที่ Google เลยครับมีเยอะมากๆ กดตรงนี้)
7. Carpool Lane โดยมากกว่าหนึ่งคน ได้เปรียบ
ที่ ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาให้ความสำคัญกับ สิ่งแวดล้อม เป็นอย่างมาก ในหลายๆ เรื่อง หากดูกันเฉพาะเรื่องของการจราจร การคมนาคมทางบกนั้น เขาจะให้สิทธิ์พิเศษคนพิการ และ คนที่เดินทางไปไหนมาไหนด้วยกัน ซึ่งต้องเป็นการโดยสารบนยานพาหนะ คันเดียวกันมากกว่า 1 คนขึ้นไป หรือที่เรียกว่า “Carpool” เขาได้มีการจัดเลน หรือ ช่องทางจราจร พิเศษให้กับรถที่มีผู้โดยสารมากกว่า 1 คนขึ้นไป ให้มีสิทธิ์วิ่งได้ในช่องทางซ้ายสุด (ชิดเกาะกลางถนน)
หากขับรถคนเดียว แต่ว่าเราดันทะลึ่งเข้าไปวิ่งในช่องทางจราจรแบบ Carpool ละก็ โทษปรับขั้นต่ำ จะอยู่ที่ ประมาณ $341 ได้ หากสังเกตุดูดีๆ ที่พื้นผิวถนนจะมีสัญลักษณ์เป็น รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ตลอดระยะ ซึ่งหากใครขับรถไปกับครอบครัว ไปกับแฟน (สตรีมีครรภ์ ขับเลนนี้มาคนเดียว ไม่ได้นะครับ) สามารถใช้บริการช่องทางจราจร นี้ได้เลย ไม่ต้องเกรงใจใครครับ
โดยส่วนมากแล้วเราจะพบช่องทางเดินรถ Carpool Lane นี้จะมีเฉพาะบนถนนไฮเวย์ ที่วิ่งตัดผ่านเมืองใหญ่ๆ เท่านั้น จะมีประโยชน์มากๆ เพราะสามารถกรองรถออกไปได้มากทีเดียว ส่วนไฮเวย์นอกเมืองจะไม่ค่อยพบเท่าไหร่
และ ที่สำคัญเขาจะมีช่องเข้าสำหรับ Carpool Lane เฉพาะ นะ ไม่ใช่ว่าเราคิดว่า เรามามากกว่า 1 คน แล้วจะขับเข้าไปใช้ Carpool Lane นี้เมื่อไหร่ก็ได้นะ เราต้องดูทางเข้าด้วยเช่นกัน เขาจะมีทางเข้าออกเว้นระยะอยู่ อยู่ประมาณ 4-5 ไมล์ ต่อ 1 ทางเข้าออก แต่ละอัน
8. Metro Express Lanes ช่องทางจราจรพิเศษ เร็วว่าใครแต่จ่ายตังค์
หากคุณไปขับรถในลอสแอนเจลิส (LA) ขณะนี้ถนนในลอสแอนเจลิส มีบริการใหม่กับช่องทางจราจรที่เรียกว่า Express Lanes ซึ่งเขาจะกันช่องจราจร 2 ช่องซ้ายสุด มาเป็นช่องทางจราจรพิเศษนี้ ซึ่งช่องทางจราจรนี้ ก็ใช่ว่าใครจะเข้าไปวิ่งได้ แต่คุณจะต้องมี สิ่งที่เรียกว่า “แท็ก – Tag” ที่ใช้ชื่อว่า FasTrak® Transponder ซึ่งจะเป็นแท็ก คล้ายๆ เหมือน EzyPass ของทางด่วนพิเศษบ้านเรา ติดไว้ที่กระจกหน้ารถของเรานั่นเอง
ซึ่งคุณสามารถเข้าไป เปิดบัญชี (Account) ผ่านเว็บไซต์ ได้ที่หน้าเว็บไซต์ของเขาเลย เพียงแค่ กรอกข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลบัตรเครดิต เพื่อการชำระเงินออนไลน์ และหลังจากนั้น ตัวบัตร FasTrak® Transponder จะถูกส่งไปตามที่อยู่คุณที่กรอกเอาไว้ตอนลงทะเบียนภายใน 3-5 วันทำการ (เฉพาะที่อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา เท่านั้นนะ)
หลักการการใช้บริการนั้น คุณจะต้องเข้าและออกทาง ExpressLanes ในจุดที่เขาให้เข้าและออกเท่านั้น ไม่ใช่ว่านึกจะเข้าก็เข้าได้ นึกจะออกก็ออกได้ เพราะว่า บางจุดสามารถเข้าได้อย่างเดียว บางจุดสามารถออกได้อย่างเดียว หรือบางจุดสามารถเข้าและออกได้ในจุดเดียวกัน อันนี้ต้องศึกษาดูให้ดี
เมื่อคุณตัดสินใจเข้าไปแล้ว ระบบจะตัดเงินออกจากคุณโดยอ่านจาก Tag ที่มีชื่อว่า FasTrak® Transponder ที่คุณติดตั้งอยู่หน้ารถออกไปทันทีทันใด ถือว่าช่วยสร้างความสะดวกสบายให้กับเรามากๆ ในชั่วโมงเร่งด่วน ลองดูวีดีโอสาธิตการใช้งาน และอธิบายบริการนี้อย่างละเอียดดูด้านล่างนี้เลยครับ
หมายเหตุ : การใช้บริการ เลนด่วนพิเศษ ExpressLanes นั้นคงจะไม่เหมาะสำหรับ นักท่องเที่ยว ที่ไปเช่ารถขับ แต่เหมาะสำหรับผู้ที่ไปพำนักอาศัยอยู่ อย่างถาวร
9. การเข้าคิว สลับกันมา สลับกันไป สำคัญที่สุด !
เรื่องการเข้าคิวนี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการ ขับรถในอเมริกา เพราะที่นี่จะเป็นการเข้าคิวแบบ “สลับคันกันไป” ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งสำคัญมากๆ เช่น การขับรถผ่านสี่แยก ที่ไม่มีไฟจราจร (No Traffic Light Junctions) หากคุณขับรถตามคันหน้าเข้ามาถึงสี่แยก พอคันหน้าคุณขับขึ้นไปเพื่อจะผ่านสี่แยก คุณจะ “ไม่สามารถ” จี้เพื่อขับตามคันหน้าเพื่อผ่านสี่แยกไปพร้อมๆ กันได้ โดยเมื่อคันหน้าผ่านไปแล้วคุณจะต้องหยุดรอก่อน และจะต้องดูซ้ายและขวา ว่ามีรถมาหรือไม่ หากมีรถมา คุณจะต้องรอจนกว่ารถทางซ้ายและขวาจะหมดไป แล้วหลังจากนั้น เราถึงจะเป็นคิวถัดไปที่สามารถไปได้
ตรงจุดนี้ เรามักที่จะคุ้นชินกับสถานการณ์ในเมืองไทย ที่เป็นแบบลักษณะที่ ถ้าคันหน้าได้ไป เราก็จะขับจี้ท้าย จี้ตูด จี้ จี้ จี้ คันหน้า เพื่อที่จะให้ได้ไปด้วย ในขณะที่ รถคันหลังก็จะพยายามจี้ตูดเรามาให้ได้ชิดที่สุดเช่นกัน ใครที่เว้นระยะห่างเกินไป ก็จะเป็นฝ่ายเสียทางให้รถที่วิ่งไปอีกทางได้ ก็จะถือเป็นผู้แพ้ (เหมือนเล่นเกมส์เลย)
ดังนั้นการ ขับรถในอเมริกา จะเน้นสลับคันกันไป เน้นการเข้าคิว อย่าเพลินจนขับจี้ตามคันหน้าไป ระหว่างข้ามแยก หรือ ขอการเปลี่ยนช่องทางจราจร (เปลี่ยนเลน)
10. การเปลี่ยนเลน หรือ เปลี่ยนช่องทางจราจร
อีกจุดนึงที่สำคัญ ในการขับรถทุกที่ ทุกแห่งในโลกนี้ ก็คือ การเปลี่ยนเลน หรือ เปลี่ยนช่องทางจราจร นั่นเอง ซึ่งรถที่ประเทศสหรัฐอเมริกา นี้ส่วนมากแล้ว ตำแหน่งสัญญาณไฟเลี้ยว จะอยู่ทางฝั่งซ้ายมือ ของคอพวงมาลัย (รถในเมืองไทย ส่วนมากจะอยู่ด้านขวา ด้านซ้ายจะเป็นสวิตซ์ควบคุมที่ปัดน้ำฝน) ฉะนั้นต้องระวังให้ดี และ ฝึกให้เคยชินเข้าไว้
การขับรถของคนที่นี่ เขาค่อนข้างที่จะมีมารยาทสูง ดังนั้น การเปลี่ยนเลน จะต้องเปิด ไฟเลี้ยวขอทาง เพื่อขอทางทุกครั้ง ! (แต่ก็เห็นมี คนขับรถที่นี่บางรายเกรียนๆ ไม่เปิด ไฟเลี้ยวขอทาง อยู่บ้างเช่นกัน ปาดเข้ามาเลย ตามปกติของทุกเมือง ทุกประเทศ) และโดยส่วนมากแล้ว เมื่อคุณขอทางเพื่อเปลี่ยนเลน คนที่นี่เขาจะ “เบรคเพื่อชะลอรถให้คุณเข้าเลนเสมอ” ไม่มีการแบบ เร่งเครื่อง ขึ้นมาปิดทาง แถมบีบแตรไล่ ไม่ให้เปลี่ยนเลน เหมือนประเทศแถวๆ นี้แน่นอน
ผมสังเกตเห็นหลายครั้งแล้ว แม้ว่าคนขับรถคันนั้นจะดูแบบวัยรุ่นเกรียนๆ ดูซ่าส์ๆ หน่อย หรือหน้าตาโหดๆ เขาก็มักจะชะลอ ให้เราเปลี่ยนเลน เข้าไปได้เสมอ ดังนั้นไม่ต้องกังวล แต่ขอให้ “เปิดไฟเลี้ยว เพื่อขอทาง ทุกครั้งเสมอ” เป็นการดีที่สุด เราอยู่ต่างบ้านต่างเมือง อย่าทำตัวเกรียน
สวัสดีครับ รายละเอียดมีประโยชน์มากครับ รบกวนถามเพิ่มว่าในเมืองต่างๆในแคลิฟอร์เนีย มีข้อห้ามพวก bus lane หรือเลนพิเศษอะไรอีกไหมครับ ประเภทเข้าไปเจอค่าปรับอะไรพวกนี้
ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าเคยขับรถชิคาโกเลยไป น้ำตกไนแองการ่าไหมคะ โดยใช้เส้นทางI90?
ไม่ทราบว่าถนนเป็นยังไงบ้างคะ มีด่านตรวจคนเข้าเมืองไหมคะ? พอดีกังวลเพราะกลัวขับเข้าไปฝั่งแคนนาดา แล้วกลับเข้ามาฝั่งอเมริกาไม่ได้น่ะคะ ขอบคุณมากค่ะ
สวัสดีค่ะพี่ธรรณพ หนูได้ตามอ่านที่พี่รีวิวไว้ หนูอ่านทุกตอนเลย ดีมากๆเลยค่ะ หนูมีเรื่องอยากขอคำแนะนำจากพี่ได้มั้ยคะ
เผอิญหนูมีประชุมที่ san francisco 8-11 พค.นี้ค่ะ แต่หนูว่าจะไปตั้งแต่ 3-12 พค.ค่ะ เผื่อจะได้ไปเที่ยวก่อนประชุมค่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่หนูได้ไปอเมริกาค่ะ ไปกับพี่สาวที่เคยไปอเมริกามาก่อนแล้ว หนูจองตั๋วเครื่องบินไว้เป็น BKK-SFO, SFO-BKK ไว้แล้ว หนูเพิ่งมีรุ่นน้องทีรู้จักกันเค้าไปกับกลุ่มเพื่อนและขับรถไป San francรsco-LA-las vegas หนูเลยอยากไปบ้างค่ะ หนูกับพี่สาวเลยคิดว่าอาจไปเที่ยว LA ด้วยนอกเหนือจากเที่ยวแต่ใน san francisco ค่ะ ตอนนี้หนูเริ่มศึกษาวิธีการขับรถที่อเมริกาอยู่ค่ะ
plan ของหนูตอนแรกคิดว่า
3 พค. ลงเครื่องที่ SFO ตอน 10.40 ค่ะ กะว่าจะเช่ารถขับเลยค่ะ กะจะไป monterey, carmel –> และหาที่พักระหว่างทาง ถ้าไปถึงแถวที่ santa babara ไหว ก็จะพักที่นั่นค่ะ
4 พค. ออกเดินทางจากที่พัก (santa babara) –> LA เดินเที่ยวและพักที่นั่น
5 พค. เดินเที่ยวในเมืองทั้งวัน –> พักโรงแรมใกล้ dysney land
6 พค. เที่ยว dysney land ทั้งวัน –> พักในโรงแรมใกล้ dysney land ที่เดิม
7 พค. ออกเดินทางตอนเช้า–>ขับทางที่ไม่ใช่หน้าผาอะค่ะ และกะจะแวะเที่ยว yosemity และกลับมาพักในเมือง san francisco ค่ะ (และคืนรถ)
8-11 พค. ประชุม ใน san francisco กะว่าช่วงหลังประชุมตอนเย็นจะตามเก็บสถานที่เที่ยวสำคัญในเมือง san francisco ค่ะ และมีเวลาว่างครึ่งวันบ่ายของ 11 พค. เป็นต้นมาในการไปพวก golden gate ค่ะ และที่เที่ยวอื่นๆ
12 พค. เตรียมเดินทางกลับ BKK ค่ะ flight กลับหนูประมาณเที่ยงค่ะ
หลายๆคนพอเค้ารู้ว่าหนูจะขับรถเที่ยวประมาณนี้ เค้าพยายามห้ามค่ะ ไม่อยากให้หนูไปขับที่นุ่นเพราะกลัวเกิดอันตราย โดยเฉพาะขับจาก SFO ลงมาเพราะข้างทางเป็นหน้าผา เพราะมีข่าวที่มีเด็กไทยขับรถที่นุ่นแล้วรถชนเสียชีวิตอะค่ะ
หนูได้มาอ่านรีวิวการขับรถต่างๆ จนมาเจอของพี่ หนูรู้สึกว่าพี่เขียนได้ดีมากเลยค่ะ และก็ได้แรงบันดาลใจจากที่พี่รีวิวมา ทำให้หนูอยากขับรถที่นั่นค่ะ ตามความตั้งใจเดิม
หนูมีคำถามอยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำจากพี่ค่ะ
1. พี่ว่าถ้าผู้หญิงสองคนขับรถใน อเมริกา อันตรายมั้ยคะ ในแง่ความปลอดภัย
2. พี่ว่าหนูควรเที่ยว LA น้อยกว่านี้ 1 วันมั้ยคะ โดยเฉพาะวันที่ 5 พค. ที่เดินเที่ยวในเมือง แต่หนูก็ไม่อยากไป dysney land วันที่ 5 พค.เลยค่ะ เพราะตรงกับวันอาทิตย์ กะว่าไป dysney land วันที่ 6 พค. ที่เป็นวันจันทร์คนน่าจะน้อยกว่าค่ะ
3. ถ้าหนูไม่ได้ขับรถ หนูคงไปเที่ยวไม่ได้ตามแพลนที่วางไว้ ตอนนี้ก็พยายามดูว่ามีทัวร์เป็นกรุ๊ปจาก San francisco–>LA มั้ย แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีขาเดียว และขากลับต้องนั่งรถกลับไป san francisco เองค่ะ และอาจไม่ได้เที่ยว Yosemite ค่ะ
4. ตอนแรกหนูจะเปลี่ยน flight บินมาลง LAX แทน SFO แต่ค่าเปลี่ยนตั๋วของหนูกับพี่สาวรวมกันก็ 8,000-10,000 บาทแล้วค่ะ เลยคิดว่าจะขับรถลงมาแทน หรือพี่ว่าหนูควรนั่ง domestic flight มา LAX ต่อดีคะ แต่ก็จะไม่ได้เห็นวิวหน้าผาและเที่ยว moterey&carmel
5. ถ้าพี่เป็นหนูพี่อยากแนะนำหรือเปลี่ยนแปลงกำหนดการอะไรบ้างมั้ยคะ หรือมีที่เที่ยวอื่นที่แนะนำรวมถึงวิธีการเดินทางด้วยมั้ยคะ
6. ถ้าหนูคิดจะไปขับรถที่นั่นจริง ยังไงหนูก็ต้องทำ international driving license ใช่มั้ยคะ
ขอบคุณพี่ธรรณพมากนะคะที่ช่วยอ่านที่หนูเขียนและตอบคำถามของหนูค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
สวัสดีครับ ขอตอบเป็นข้อๆ ตามที่ถามมานะครับ
1. การขับรถในอเมริกา ค่อนข้างปลอดภัยกว่าอยู่เมืองไทยแน่นอนครับ แต่ต้องเคารพกฏจราจร อ่านตาม Blog ที่ผมเขียน รับรองว่าขับได้แน่นอนครับ ที่สำคัญคือแนะนำให้เช่ารถคันใหญ่ขับดีกว่านะครับ พวก SUV เพื่อความปลอดภัย และมั่นใจ แถมขนกระเป๋าสัมภาระได้เยอะอีกต่างหาก เพราะที่โน้นขับรถใหญ่ๆ กันทั้งนั้น ต่างกับฝั่งยุโรป ที่นิยมเน้นรถเล็กครับ และราคาก็ต่างกันไม่มากครับ
2. วันที่ 5 พ.ค. แนะนำว่าควรขับรถเข้าไปจอดในเมืองดีกว่าครับ ลอง Google หาที่จอดรถใน Downtown ดูครับ เพราะจาก Disneyland (อยู่เมือง Anaheim) นี่ค่อนข้างไกลจาก Downtown ของ LA พอสมควรเลยนะครับ (อารมณ์ประมาณกรุงเทพ รังสิต อะไรแบบนั้น)
3. แนะนำให้ขับรถเที่ยวเองดีกว่าครับ อย่าไปเที่ยวทัวร์เลยครับ แต่การขับเที่ยวในอุทยาน Yosemite ทางค่อนข้างอันตรายเหมือนกันครับ ตอนผมไป (ปี 2013) ถนนจะไม่มีไฟตอนกลางคืน และที่สำคัญ สัญญาณมือถือไม่มีเลยครับ ต้องใช้แอปที่โหลดแผนที่มาเก็บเอาไว้ในมือถือก่อนเท่านั้น เพื่อความชัวร์ครับ แต่ถ้าไม่มั่นใจในฝีมือตัวเอง ข้าม Yosemite ไปก่อนดีกว่าครับ อาจจะเอาไว้ทริปหน้า
4. แนะนำขับรถดีกว่าครับ จะได้เห็นบรรยากาศ ดูวิวทิวทัศน์ ที่แท้จริง มีความสุขกว่าเยอะครับ
5. ดูแล้วโอเคนะครับ ไม่ต้องเปลี่ยนหรอกครับ
6. ทำไว้อุ่นใจกว่าครับ แต่เอาจริงๆ ผมเคยเช่ารถโดยใช้ใบขับขี่ไทย (รุ่นใหม่ ที่มีภาษาอังกฤษ กำกับมาแล้วก็ใช้ได้นะครับ)
มีอะไรสอบถามเพิ่มเติมได้เลยนะครับ
ผมจะไปเที่ยวอเมริกาช่วยแนะนำว่าจะไปเทียวฝั่งตะวันออกก่อนเริ่มที่บอสตันไล่ลงมาต้องใช้ถนนส่ยไหนบ้างและมีทีจุดจอดพักไหนปลอดภัยที่ไหนไม่ปลอดภัยและจะข้ามไปทางฝั่งตะวันตกต้องใช้ถนนเส้นไหนและเมืองไหนครับ ใช้เวลาประมาณกี่วันและใช้งบประมานเท่าไรครับอย่างประหยัดมีผมแฟนและลุกโตแล้วสามตน ขอบคุณครับ
ขอเรียนสอบถาม ระบบ
High Occupancy Vehicle (HOV) Systems ไม่ทราบว่าถ้าเกิดเข้าไปผ่านบริเวณที่เป็น HOV จะต้องชำระเงินอย่างไรคะ และตะทรายได้อย่างไรคะว่า อยู่ในระบบ HOV
คือ จะขับรถเองระหว่าง NY…. DC… Virginia ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีคับพอดีผมกำลังจะเดินทางไปอยู่ที่รัฐโอเรกอนอยากถามว่าใบขับขี่ที่เมืองนี้ใช้ของไทยได้มั้ยหรือใบขับขี่สากลอย่างเดียวเพราะตอนแรกๆผมยังไม่ทำขับขี่ของที่นั่นต้องให้ชินไปก่อนเลยมาถามคับขอบคุณมากๆที่นำความรู้มาแบ่งปันคับ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ
รบกวนถามหน่อยนะครับ ถ้าจะเช่ารถเช่าของ Budget ที่ San Francisco เวลาไปเอารถต้องโชว์ใบขับขี่ไทย (Driver’s License) และต้องโชว์ใบขับขี่สากล (International driving permit) ด้วยไม๊ครับ?
ต้องโชว์ใบขับขี่สากลนะครับผม แต่เห็นมีหลายคนพูดว่า ใช้ใบขับขี่ไทยอย่างเดียว ที่เป็นเวอร์ชั่นใหม่ (มีภาษาอังกฤษอยู่ด้วย) สามารถใช้ได้ โดยไม่ต้องทำใบขับขี่สากลครับ แต่ผมยังไม่เคยลองเหมือนกันครับ แต่ทางที่ดี ทำใบขับขี่สากล กันเหนียวเอาไว้ก่อนจะดีกว่าครับ
ใช้ใบขับขี่ไทยได้เลยนะครับ ในรัฐแคลิฟอร์เนียทั้งหมด ผมใข้มาแล้วครับ
โอ้ว ขอบคุณมากๆ เลยครับที่บอก ไว้ไปครั้งหน้าผมจะลองบ้างครับ ..
ขอคำแนะนำคะ
มีเวลา 5 วัน ในการเที่ยว
เริ่มต้นจากลาสเวกัส
วันที่ 1 หากจะขับรถจากลาสเวกัสไป yosemite
ระหว่างทางมีอะไรเที่ยวมั้ย
วันที่ 2 เที่ยว yosemite บ่ายๆ ขับรถไป san francisco
วันที่ 3 เที่ยวใน san francisco
วันที่ 4 ขับรถไป los angeles
ระหว่างทางแวะเที่ยวที่ไหนดี ร้านอาหาร..
วันที่ 5 เที่ยวใน los angeles
วันที่ 6 เดินทางกลับ
วันที่ 6 ต้องบินกลับไทย
หรือมีเส้นทางแนะนำมั้ยคะ
มีผู้ใหญ่ไปด้วย นั่งนานต่อเนื่องไม่ค่อยได้ ต้องได้แวะพักเดินบ้างก็ไม่มีปัญหาแล้ว
ตอบคำถามของวันที่ 1 (หากจะขับรถจากลาสเวกัสไป yosemite ระหว่างทางมีอะไรเที่ยวมั้ย ?)
ตอบ : มันเป็นระยะทางที่ค่อนข้างไกลมากๆ เลยนะครับ ต้องใช้เวลาเกือบๆ 11 ชั่วโมงในการขับไปถึง เพราะเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ผมก็ไปด้วย Route นี้เหมือนกัน ออกจาก โรงแรม Circus Circus ในลาสเวกัส ประมาณ 9 โมงเช้า ขับตรงอย่างเดียวเลย ไปถึงที่พักใน Yosemite ประมาณเกือบ 2 ทุ่มเห็นจะได้ครับ ไกลมากๆ ครับ เพราะเจอทางซ่อม อุบัติเหตุระหว่างทางอีก ดังนั้น เรื่องจะหาที่เที่ยวระหว่างทาง คงไม่มีเวลาเหลือแน่ๆ ครับ
ถ้าอยากจะเที่ยวระหว่างทาง แนะนำให้แวะพักระหว่าง เมืองระหว่างทาง นั้นก่อน อาทิ Freshno หรือ Bakersfield สักคืนนึงก่อนครับ แล้วค่อยหาที่เที่ยวเอาแถวๆ นั้น แต่หลักๆ ไม่มีอะไรที่น่าสนใจเป็นพิเศษนะครับ
ตอบคำถามของวันที่ 4 (ขับรถไป los angeles ระหว่างทางแวะเที่ยวที่ไหนดี ร้านอาหาร.. ?)
ตอบ : จาก San Francisco ไป Los Angeles ขับตรงๆ ยาวๆ ก็ประมาณ 6 ชั่วโมง แต่ถ้าอยากแวะเที่ยวโน่นนี่ด้วย ก็แนะนำไปทางถนน I-1 จะวิ่งเลียบ Coast ครับ เห็นเขาว่า สวยงามมากๆ แต่ก็ถ้าวิ่งเส้นนี้ เผื่อเวลาเป็นสัก 9-10 ชั่วโมงนะครับ เผื่อแวะด้วย ไม่งั้นจะถึง LA ค่ำเกินไป ของกินผมไม่ทราบจริงๆ ครับ ลองหาคำแนะนำ ในอินเทอร์เน็ต ดูอีกทีนะครับผม
ปล. หากเป็นไปได้ผมว่าขยายวันดีกว่ามั้ยครับ 5 วันกับการเที่ยวทั้งหมด นี้มันดูเหนื่อยมากๆ เลยนะครับ เพราะของผมนี่เที่ยว Route เดียวกับคุณอิม ผมเที่ยวใช้เวลา 3 อาทิตย์แน่ครับ (อยู่ที่ Las Vegas อาทิตย์นึงเลย)
มีอะไรเพิ่มเติมสอบถามเข้ามาได้เลยนะครับ
เที่ยวให้สนุกนะครับ 🙂
ขอแชร์ค่ะ 3-4ปี ขับรถในอเมริกา เป็นข้อมูลที่ดีมากค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
ขอบคุณมากๆ นะครับผม 🙂
ช่วยแนะนำเรื่องการขึ้นทางด่วนหน่อยครับว่าจ่ายยังไงและเรารู้ราคาอย่างไรครับ
หากเราไม่มีบัตรทางด่วน ที่เป็นการ์ดแท็ก (RFID Tag) ติดอยู่ที่หน้ากระจกรถ การขึ้นทางด่วนจะมี 2 แบบหลักๆ (เหมือนบ้านเราเลยครับ) คือ
แบบจ่ายเงินสด (Cash) แบบนี้ก็จ่ายกันไปครับ กี่ USD ก็ว่ากันไป ถ้าอ่านไม่ทันก็ถามเจ้าหน้าที่ ที่นั่งอยู่ในตู้เลยครับ
แบบรับตั๋วจ่ายเงินปลายทาง (Take Ticket) ลักษณะเหมือนทางด่วนบูรพาวิถี (บางนา ตราด) ตรงทางขึ้นจะมีคน หรือไม่ก็เป็น ตู้จ่ายตั๋วอัตโนมัติ และก็ไปจ่ายเงินปลายทาง ส่วนเรทราคาก็คิดตามระยะทางครับ
ส่วนเรื่องการจ่ายเงินนั้น อาจจะเป็นคนรับเงิน หรือไม่ก็เป็นเครื่องใส่เงินเข้าไป (มีเงินทอนนะ ไม่ต้องห่วงครับ) ขอให้โชคดีนะครับ
โดนใบสั่งจอดรถ bus stop $293 ที่ LA ใช้รถเช่า ทำไงดี
ขอถามครับว่าการเช่ารถต้องให้เค้าเติมน้ำมันให้เราก่อนดีมั้ย และเราควรเช่าระบบG.P.S.ของเค้ามั้ย ขอบคุณครับ
เรียนคุณ Punya
ผมขอตอบเป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้เลยนะครับ
1. ปกติแล้วเวลาเช่ารถที่นั่นเขาจะเติมน้ำมันมาให้เราแบบเต็มถังอยู่แล้วครับผม เพราะว่าส่วนมากศูนย์เช่ารถ ถ้าเป็นศูนย์ใหญ่ เขาจะมีหัวจ่ายน้ำมัน เติมรถเช่าในตัวอยู่แล้วครับ
2. เรื่อง GPS ส่วนมากจะเสียค่าเช่าตัวเครื่องรับสัญญาณเพิ่มอีกประมาณวันละ $10.00 แต่ว่าผมไม่เคยเช่าครับ ผมใช้ Google Map บนไอโฟน ตลอดครับ แม่นยำมากๆ ครับ แต่ต้องมีสัญญาณมือถือนะครับ ถ้าไปในที่ ที่มีสัญญาณมือถือ เชื่อใจ Google Map บนโทรศัพท์เราได้เลยครับ แต่ถ้าไปจุดอับสัญญาณอย่างเข้าอุทยานแห่งชาติ อะไรแบบนี้ควรจะมี GPS แบบพกพา เช่าติดเอาไว้ครับ
รบกวนถามเส้นทางจาก las vegas ไป san fran หน่อยค่ะ น่าจะเกือบ 10 ชั่วโมงใช่มั้ยคะ ขอคำแนะนำหน่อยค่ะว่าควรแวะพักระหว่างทางที่ไหนมั้ยคะ หรือถ้าขับไหวก้อรวดเดียวไปเลย หรือมีที่เที่ยวระหว่างทางที่ควรแวะมั้ยคะ แล้วทางจาก las vegas ไป grand canyon มันคนละทางกับ las vegas ไป san fran รึเปล่าคะ ขอคำแนะนำด้วยค่ะ เพราะไม่ค่อยมีข้อมูลของเส้นทางจาก las vegas ไป san fran พอดีเห็นว่าคุณ thanop ไป route แบบนี้ รบกวนด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ
ใช่ครับ จะใช้เวลาประมาณ 11 ชั่วโมง ซึ่งนี่คือการคำนวนจากแผนที่ใน Google Map แต่ในความเป็นจริง จะต้องดีเลย์ไปกว่านั้นแน่นอน มีหลายปัจจัยเช่นถนน จราจร อากาศ รวมไปถึงเราขับหลงด้วย ควรจะบวกไปอีก 1-2 ชั่วโมง ซึ่งถือว่านานมากๆ
ส่วนทางจาก Las Vegas ไป Grand Canyon นั้นถือว่าคนละทาง เพราะว่าทางไป Grand Canyon มันไปทางตะวันออกหรือรัฐ Arizona ครับผม
สำหรับผมในการขับจาก Las Vegas ไปถึง San Fran ซึ่งตอนผมไป ไม่ได้ไปถึงซานฟรานเลย แต่ไปแวะอุทยานแห่งชาติ Yosemite ซึ่งถึงก่อนซานฟรานประมาณ 3 ชั่วโมง ค้างก่อน 2 คืน แต่สำหรับคุณโอ๋ ถ้าไม่ได้ไป Yosemite ผมแนะนำให้แวะเมือง Freshno หรือ Bakerfield ก่อนสักคืน แล้วค่อยขับต่อไปซานฟรานครับ สบายๆ ดี ลองดูนะครับ หากต้องการคำแนะนำอะไรถามมาได้เลยครับ
Zipcode คือรหัสเขดที่อยู่เราอ่ะค่ะ ไม่ว่าจะไปใส่น้ำมันที่ไหน ก็ใส่รหัสที่อยู่ของเราเหมือนเดิม อย่างเราอยู่ที่ triangle รัฐ virginia รหัสเขด triangle 22172 แล้วเราไปใส่น้ำมันที่เขดอึ่น ก็ใส่ 22172 แบบนี้นะค่ะ เคยเห็นแม่ทำ ไม่รู้ว่าใช่ป่าว พึ่งมาอยู่ 3 เดือนยังไม่มีรถเลย ^^
แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรกับการใส่ Zip Code เหรอครับ อันนี้ผมไม่ทราบเหมือนกัน
ขอบคุณมากครับ
แล้วเรื่องขนาดของรถยนต์มีผลไหมครับถ้าเลือกเล็กไปกลัวเวลาวิ่งขึ้นเขา
แต่ถ้าเลือกเป็น RV ราคาแพงกว่าเช่ารถธรรมดามากไหมครับแล้วจอดนอนได้ทุกที่หรือไม่ช่วยแนะนำหน่อยครับ
อยากรบกวนสอบถามเรื่องการเลือกรถเช่าในอเมริกาตะวันตก ผมเดินทางสองคนจะไปเที่ยวตามอุทยาyellow stone ประมาณสองสัปดาห์ช่วยแนะนำหน่อยครับเดินทางไปครั้งแรกใบขับขี่ของไทยใช้ได้ไหมครับแล้วบริษัทรถเช่าของFox โอเคไหมครับแบบไหนดีครับ
ใบขับขี่ที่จะสามารถนำไปใช้ขับรถที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ คือเราจะต้องไปทำ ใบขับขี่สากล หรือ ใบขับขี่ระหว่างประเทศ แล้วใช้ได้เลยครับ ซึ่งค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 505 บาท โดยหลังจากทำแล้วจะมีอายุ 1 ปี ครับผม รายละเอีบดหลักฐานที่ต้องนำไปใช้กดเข้าไปดูได้ที่นี่เลยครับ กดตรงนี้เพื่อดูรายละเอียด
ส่วนเรื่องของบริษัทเช่ารถ Fox Rent A Car นั้นผมไม่เคยเช่ากับของบริษัทนี้ เลยไม่มีข้อมูลครับ ผมเคยเช่าของ Thrifty Car Rental, Enterprise Rent A Car และ Almo Rent A Car นะครับ แต่ไม่ต้องกังวลครับ บริษัทพวกนี้หลักการเช่า วิธีการเช่าจะคล้ายๆ กันหมดอยู่แล้วครับ เอาสะดวกเราไว้ก่อนดีกว่า เวลาไปเช่ารถขอเบอร์ติดต่อยามฉุกเฉินมาด้วยก็ดีครับ มีสอบถามอะไรเพิ่มเติม ถามมาได้เลยนะครับ ยินดีครับ
ถ้าเราจะเช่ารถขับเฉพาะที่แอลเอและคืนรถที่แอเอจากนั้นต่อด้วยเครื่องไปเวกัสและเช่ารถทีาเวกัสอีกทีจะดีกว่ามั้ยครับ
ขอบคุณครับ
ผมแนะนำให้ขับไป Las Vegas ไปเลยดีกว่าครับ ผมว่าค่าเครื่องบิน พ่อ แม่ ลูก 3 คนแพงไม่คุ้มครับ ขับไปเรื่อยๆ ระหว่างทางจาก LA ไป Vegas จะมีเมือง Barstow จะมี Outlet ใหญ่อยู่แวะเดินช้อปปิ้งได้อีก ระยะทางไม่ไกลเลยครับ ขับรถประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง (ยังไม่รวมแวะพัก Barstow) นะ มีอะไรสอบถามเพิ่มเติมได้เลยนะครับ
รบกวนถามถ้าเราขับรถเส้นทางที่ไม่ค่อยมีร้านค้าแล้วรถเสียต้องทำงัยครับ ผมจะเช่ารถขับจากแอลเอ ไป ซานฟรานและแวะเที่ยวเวกัส กับ แกรนแคนยอน ก่อนไป และตั้งใจจะคืนรถที่ซานฟรานครับ มีวิธีเที่ยวแบบอื่นที่ดีกว่านี้ช่วยแนะนำด้วยครับ ไปกันสามคนพ่อแม่ลูกครับ
ขอบคุณครับ
ทริปนี้ผมขับมาแล้วเหมือนกันครับ ช่วงมีนา ปีที่แล้ว เช่ารถจาก LA -> Las Vegas -> Yosemite -> SanFran -> LA ถนนก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรนะครับ เรื่องร้านค้า ห้องน้ำต่างๆ ไม่ต้องห่วงครับ ระหว่างทางจะมี Rest Area ให้จอดพักอยู่ตลอด ส่วนเรื่องของรถเสียผมแนะนำให้ซื้อประกันแบบ Full Coverage หรือแบบคุ้มครอง ครอบคลุม ทั้งหมดไปเลยสบายใจกว่าครับ รถหายรถเสีย รถชน หายห่วง เค้าจะมีเบอร์ติดต่อให้เราโทรแจ้ง ตอนนั้นคุณอาผมเคยขับรถชนขอบที่จอดรถ เป็นกำแพงยื่นออกมา กระจกบานหลังแตกทั้งหมด (เป็นรถ Van) เขาเปลี่ยนรถให้เลยครับ
อยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขับรถในอเมริกาค่ะ
เช่นการขับรถผ่านวงเวียน การจอดรถ การเติมน้ำมัน หรือเรื่องอื่นๆ
เพราะกำลังจะไป South Carolina ตอนสิ้นเดือนนี้ แล้วจะต้องขับรถที่นั่นด้วยค่ะ
รบกวนด้วยค่ะ
เรื่องการเข้าวงเวียน จะเป็นวนขวาขึ้นไป (ทวนเข็มนาฬิกา) ครับโดยสมมุติว่าเราวิ่งทางตรงเข้ามา (6 นาฬิกา) เขาจะเรียกทางออกแรกที่เจอก่อนเลยว่า ทางออกที่ 1 (3 นาฬิกา) ทางออกที่ 2 (12 นาฬิกา) และ ทางออกที่ 3 (9 นาฬิกา) ก็สลับคันกันไปนะครับ เหมือนเมืองไทย
ส่วนการเติมน้ำมันจะเป็นแบบบริการตัวเอง (Self-Service) ครับมีสองวิธีคือ
1. ใช้เงินสด : ง่ายๆ คือเราไปจอดรถที่หัวจ่ายน้ำมัน ดับเครื่อง ล็อกรถ และดูหมายเลขหัวจ่ายน้ำมัน แล้วเดินเข้าไปที่ห้องควบคุม (ส่วนมากมันก็คือแคชเชียร์ที่มินิมาร์ทในปั้มนะแหละครับ) บอกเค้าว่า หัวจ่ายที่เท่าไหร่เช่น “NUMBER 5, 20 Dollars” เค้าก็จะรับเงินเราไว้ก่อน หลังจากนั้นเราก็เดินกลับไปที่รถแล้วหยิบหัวจ่ายน้ำมันมาใส่ช่องน้ำมัน แล้วกดปุ่มไปเรื่อยๆ จนกว่าจะตัดครับ หากมันตัดก่อนเงินหมดแสดงว่าเราเจะได้เงินทอน ก็เดินไปเอาเงินทอนคืนจากเจ้าหน้าที่ในห้องควบคุม
2. จ่ายบัตรเครดิต : ขับรถไปที่หัวจ่ายน้ำมัน เดินลงจากรถแล้วเสียบบัตรเครดิต ใส่จำนวนเงินเข้าไป แล้วกดหัวจ่ายเลยครับ หลังจากนั้นจะปริ้นสลิปมาให้เราเป็นหลักฐาน
หากมีอะไรถามผมมาได้เลยครับ ยินดีครับ 🙂
ถามเกี่ยวกับเรื่องบัตรเครดิตหน่อยนะคะ. คือเคยลองเติมน้ำมันที่อเมริกา2ที ผ่านบัตรคะ. แต่/ม่ผ่าน มันถามzipcode. อยากถามขั้นตอนการใช้บัตรคะทำยังไง. ขอบคุณคะ
ขอสารภาพตามตรงว่า เวลาไปเติมน้ำมัน ในอเมริกา ผมไม่เคยใช้บัตรเครดิตเติมเลยครับผม ผมใช้แต่เงินสดครับ โดยการขับไปจอดที่หัวจ่ายน้ำมัน จำเบอร์ประจำหัวจ่ายเอาไว้ แล้วเดินเข้าไปบอกในร้านขายของในปั้มว่า “Number 5 $20 หรือ $40 Dollars” พร้อมกับยื่นเงินให้เค้า พอเดินกลับมาก็จัดการกดเติมน้ำมันได้เลยครับ
สวัสดีค่ะพี่ ขอรบกวนถามอะไรพี่หน่อยนะค่ะ ตอนนี้หนูอาศัยอยู่รัฐฮาวายซื้อรถมอเตอร์สกูสเตอร์ 150cc ไว้ใช้ขับไปทำสวน บังเอิญทำสมุดทะเบียนรถหายพยายามติดต่อกับทางบริษัทจำหน่ายรถดันไม่รับ พยายามติดต่อหลายครั้งก็ไม่เป็นผลไม่รู้เป็นเพราะอะไร ให้พี่ช่วยแนะนำหน่อยค่ะเพราะหนูจะเอาเอกสารไปยื่นในการขอลงทะเบียนเพื่อให้ถูกต้องตามกฏหมาย ขอบคุณค่ะ