11. ป้าย “STOP” ต้อง STOP หยุดคือหยุด
ที่ ประเทศสหรัฐอเมริกา อีกป้ายนึงที่เราจะเห็นบ่อยมากๆ พอๆ กับป้ายร้านแมคโดนัลด์ (McDonald’s) ตามท้องถนนเลยคือป้ายที่เขียนว่า “STOP” หรือที่แปลว่า “หยุด” นั่นเอง ที่นี่เขาจะเข้มงวดกับ ป้ายหยุด นี้มากๆ คือเมื่อเราขับรถ มาถึงจุดทางแยกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแยกเล็ก หรือจะเป็น ป้ายหยุด ในห้างสรรพสินค้า ในแหล่งช้อปปิ้งต่างๆ หรือ แยกใหญ่ จะเห็นป้ายนี้ตลอด
พอเราขับมาถึงป้ายนี้ เราจะต้องหยุดรถจนสนิท จนหยุดนิ่งจริงๆ (Completely Stop) แม้จะไม่มีรถมาจากอีกฝั่งนึงก็ตาม หยุดรถประมาณ 1-2 วินาที แล้วค่อยสามารถออกรถไปต่อได้ และ เวลาหยุดรถ คุณไม่ต้องกลัวคันหลังบีบแตรไล่ เพราะเมื่อเราไปแล้ว เขาก็ต้องหยุดด้วยเหมือนกัน ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ที่นี่เลยละ
หมายเหตุ : ในหนึ่งสี่แยก ไม่ได้หมายความว่าจะมี ป้าย STOP ครบทั้ง 4 ทาง อาจจะมีแค่ทางใดทางหนึ่ง ก็ได้ อย่างเช่นรถที่ออกจากซอย (ทางโท) เพื่อที่ออกสู่ถนนใหญ่ (ทางเอก) ป้าย STOP จะมีแค่ฝ่ายทางโท เท่านั้น รถที่กำลังวิ่งอยู่ในทางเอก ไม่จำเป็นจะต้องหยุด เพราะฉะนั้นขอให้ดูดีๆ ไม่ใช่ว่าจะต้องหยุดตลอดทุกแยกเสมอไป
12. ออกทางออก (Exit) ผิดอย่าคิดถอยหลังกลับ !
ในการใช้ไฮเวย์ (Highway) หรือ ฟรีเวย์ (Freeway) ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น หากคุณออก ในทางออกที่ผิด (Exit) หรือ เลยทางออกที่ต้องการออก ห้ามชิดขวา (บ้านเราจะชิดซ้าย) แอบข้างทาง แล้วค่อยๆ ถอยหลังไปออกทางออกที่เราขับเลยออกมา แบบนี้ ห้ามเด็ดขาด !! ถือมีความผิดร้ายแรง โดยปรับหลายร้อยเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ เลยนะครับ
แต่จะว่าไป จริงๆ เมืองไทยเอง ก็ไม่ควรทำแบบนี้ และตำรวจบ้านเราเดี๋ยวนี้เขาก็มีกล้องจับแล้วนะ มีตามส่งใบเสร็จ เอ้ย ใบสั่ง มาถึงบ้านเราเลยแหละ สรุปพฤติกรรมแบบนี้ ไม่ควรทำ ด้วยประการทั้งปวง ไม่ว่าจะอยู่ประเทศใดก็ตาม
คำแนะนำ : หากเลยทางออก ที่ต้องการ ให้ตรงเลยไปก่อน แล้วหาทางออก อันถัดไปแล้วขับออกไปเลย แล้วหาทางกลับเข้ามาใหม่ เพราะปกติแล้ว ตรงจุดไหนมีทางออก ในทางกลับกันก็จะมีทางเข้าเสมอ (Freeway Entrance) ไม่ต้องกังวล
13. จอดรถในอเมริกา นิยมเอาหน้ารถเข้าจอด มากกว่าการ ถอยหลังเข้าซอง
การจอดรถ ตามสถานที่ต่างๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกา เขาจะนิยมการจอดรถกันในแบบ หันหน้าเข้าซอง แทน การถอยรถเข้าซอง เหมือนบ้านเรา ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจ เพราะที่นี่เขานิยมกันแบบนี้ ดังนั้นไม่ต้องกังวล ขอให้เราเชื่อมั่นในตัวเองว่า อยู่เมืองไทย ถ้าเราสามารถถอยรถจอดเข้าซอง ได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว การหันหน้าเข้าซอง ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
โดยสาเหตุที่คนอเมริกัน จะต้องจอดแบบ หันหน้าเข้าซอง นั้น ผมสอบถามจากคนไทย เพื่อนอาจารย์ ที่เคยไปเรียนอยู่ที่ในอเมริกา หรือ เคยอยู่ที่โน่นมาก่อน ก็ได้ใจความสำคัญมา ดังนี้คือ
- พื้นที่จอดรถเกือบทั้งหมด มีขนาดว้างขวาง (ก็ประเทศเขาใหญ่นิ) ทำให้ตีวงเข้าได้สะดวกกว่า และ รวดเร็วกว่า
- ไม่มีการจอดซ้อนคัน (เหมือนเมืองไทย) ทำให้การเข้าออกสะดวกสบาย
- ซื้อของจากร้านค้าต่างๆ มา ก็สามารถเปิดท้ายเก็บของได้เลย
- ในบางรัฐ รถไม่จำเป็น จะต้องมีทะเบียนด้านหน้า มีแต่ด้านหลังเท่านั้น ทำให้สายตรวจสังเกตรถเราได้ง่าย (เหมือนรูปที่ผมถ่ายคู่อยู่ด้านบน)
ถ้าจะถามว่า ถ้าหากเราอยากจะ ถอยรถเข้าซอง เหมือนบ้านเราที่โน่นบ้าง ได้ไหม คำตอบคือ “ได้” ถ้าต้องการ ไม่ต้องกังวลเลยครับ
14. การเติมน้ำมันเอง ในประเทศสหรัฐอเมริกา
แน่นอนว่า สิ่งที่ควบคู่กับ การขับรถ ไม่ว่าจะขับที่ไหน ในประเทศใด ทั่วโลก นั่นก็คือการเติมเชื้อเพลิง หรือ “การเติมน้ำมัน” นั่นเอง
ในประเทศสหรัฐอเมริกา นั้นก็มี ปั๊มน้ำมัน (Gas Station) อยู่มากมาย และ หลากหลายแบรนด์ หลากหลายยี่ห้อเหลือเกิน เอาที่พวกเรารู้จักๆ กันก็มี อาทิ ปั๊มเชลล์ (Shell) ปั๊มเอ็กซอน (Exxon) (บ้านเราคือ ปั๊มเอสโซ่ – Esso นั่นเอง) หรือแม้แต่ ปั๊มเซเว่นอีเลฟเว่น (7-Eleven) ไม่ต้องตกใจ และ ไม่ได้ตาฝาดแน่นอน มีจริงๆ ที่อาจจะคุ้นๆ บ้างก็มี ปั๊มเชฟรอน (Chevron) หรือ ปั๊ม 76 (76 Gas Stations) ก็มีได้เช่นกัน
การเติมน้ำมันในอเมริกา นั้น จะเป็น ปั๊มน้ำมันแบบบริการตัวเอง (Self-Service Gas Station) ซึ่งก็จะไม่มีพนักงานสถานีบริการน้ำมัน (ศัพท์ชาวบ้านเรียก เด็กปั๊ม) มาคอยบริการเติมน้ำมัน มาคอยเก็บเงิน เช็ดกระจกให้เรา อยู่ที่อเมริกานี้จะต้อง “ทำเอง” ทั้งหมด โดยการชำระเงินค่าน้ำมันนั้น มีอยู่ 2 วิธี คือ
- จ่ายด้วยเงินสด
- จ่ายด้วยบัตรเครดิต
จ่ายด้วยเงินสด
- ขับรถเข้าในปั๊ม และไปจอด ที่หัวจ่ายน้ำมัน (จอดฝั่งที่หัวจ่าย ตรงกับฝาถังของรถเรา จะดีกว่านะ)
- ดับเครื่องยนต์ และออกมาจากรถ (ไม่ต้องนั่งรอในรถนะ ไม่มีใครเดินมาบริการแน่นอน)
- จำหมายเลขหัวจ่ายน้ำมัน ที่กำกับอยู่ด้านบนของหัวจ่าย (1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 อะไรก็ว่าไป)
- ล็อครถก่อน เพื่อความปลอดภัย
- เดินเข้าไปที่ร้านขายของมินิมาร์ท ประจำปั๊มน้ำมัน
- เข้าไปหาเจ้าหน้าที่ ที่นั่งเก็บตังอยู่ตรงแคชเชียร์ ในมินิมาร์ท พร้อมบอก จำนวนเงินที่ต้องการจะเติม กับเจ้าหน้าที่ โดยคุณสามารถกะประมาณเอา ว่าจะต้องการเติมเท่าไหร่ เช่น 10 15 20 25 เหรียญ อะไรแบบนี้ เป็นต้น
- วางเงินสดเอาไว้ที่เขาก่อน
- เจ้าหน้าที่ ก็จะเซ็ตปริมาณน้ำมันรอไว้ที่หัวจ่าย (ตามหมายเลขของ หัวจ่ายน้ำมัน ที่เราบอกไป จากข้อ 3)
- เดินกลับไปที่รถ เปิดฝาน้ำมัน
- เลือกประเภทของน้ำมันที่ต้องการ ว่าจะเบนซิน ค่าออกเทน ส่วนใหญ่จะเป็น 87 89 91 93 (ส่วนใหญ่ผมเติม 87 แบบว่า ขับไม่ค่อยซิ่ง และก็ไม่ใช่รถของเรา รถเช่า ไม่ต้องการรีดแรงม้าอะไรมากมาย)
- เอาหัวจ่ายน้ำมัน (Nozzle) ไปวางไว้ที่ฝาถังน้ำมัน แล้วกดปุ่มตรงหัวจ่าย ยืนรอจนกว่า น้ำมันจะเติมถัง
- เก็บหัวจ่ายน้ำมันเข้าที่ ก็เป็นอันเสร็จพิธี
หมายเหตุ : หากเติมน้ำมันเต็มถังก่อนที่เงินที่วางไว้กับเจ้าหน้าที่จะหมด ก็สามารถกลับไปรับเงินทอน ได้เช่นกัน ไม่ต้องกังวล
จ่ายด้วยบัตรเครดิต หรือ บัตรเดบิต
- ขับรถเข้าในปั๊ม และไปจอด ที่หัวจ่ายน้ำมัน (จอดฝั่งที่หัวจ่าย ตรงกับฝาถังของรถเรา จะดีกว่านะ)
- ดับเครื่องยนต์ และออกมาจากรถ (ไม่ต้องนั่งรอในรถนะ ไม่มีใครเดินมาบริการแน่นอน)
- ล็อครถก่อน เพื่อความปลอดภัย
- รูดบัตร (Swipe Card) เครดิต หรือ บัตรเดบิต ที่หัวจ่าย (ระวังเสียบบัตรผิดด้านนะ ดูดีๆ)
- ใส่รหัสหมายเลข PIN (PIN Number) ของบัตรเครดิต
- เลือกจำนวนเงินที่ต้องการเติม หรือ จะเติมเต็มถัง (Fill it up)
- เลือกประเภทของน้ำมันที่ต้องการ ว่าจะเบนซิน ค่าออกเทน ส่วนใหญ่จะเป็น 87 89 91 93 (ส่วนใหญ่ผมเติม 87 เพราะไม่ค่อยขับซิ่ง)
- เอาหัวจ่ายน้ำมัน (Nozzle) ไปวางไว้ที่ฝาถังน้ำมัน แล้วกดปุ่มตรงหัวจ่าย ยืนรอจนกว่า น้ำมันจะเติมถัง
- เก็บหัวจ่ายน้ำมันเข้าที่ รอรับใบเสร็จ (Receipt) ที่จะถูกพิมพ์ออกมาจากหัวจ่ายน้ำมัน
หมายเหตุ : การจ่ายค่าน้ำมันด้วยการชำระบัตรเครดิตนั้น วิธีการอาจจะมีความแตกต่างกัน ในแง่ของการใช้งาน ในแต่ละปั๊มน้ำมัน ดังนั้นกรุณาอ่านคำแนะนำการใช้งาน (Usage Instructions) ที่หัวจ่ายของเครื่อง เพื่อความแน่นอน และ ถูกต้อง อีกครั้ง ก่อนเริ่มใช้งาน เพราะบางแห่งอาจจะต้องใส่หมายเลข PIN บางแห่งไม่ต้องใส่ อะไรแบบนี้เป็นต้น
15. การนำทาง ผ่านด้วย App แผนที่ GPS ต่างๆ
ในยุคสมัยปัจจุบันนี้ การนำทาง (Route Navigation) ไปไหนมาไหน จากจุดนึงไปยังอีกจุดนึง เขาไม่นิยมวิธีการ กางแผนที่กระดาษ อ่านกันเหมือนสมัยก่อนแล้ว เพราะตั้งแต่ เรามี เทคโนโลยี GPS และ อินเทอร์เน็ต ที่สามารถใช้งานได้ผ่านอุปกรณ์พกพา อย่างโทรศัพท์สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือแม้แต่ เครื่องรับสัญญาณ GPS เอง ผู้คนก็หันมาใช้ อุปกรณ์เหล่านี้ ในการนำทางไปไหนมาไหน เกือบ 100% แล้ว
เพราะนอกจาก เทคโนโลยี GPS นี้จะมีความแม่นยำสูงแบบเป๊ะๆ ไม่คลาดเคลื่อน ข้อมูลแผนที่อัพเดทอยู่ตลอดเวลา และ มีเสียงช่วยบอกนำทางให้ตรงไป เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา แล้ว หากอุปกรณ์พกพา ของคุณ สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ด้วย คุณก็ยังจะได้รับ ข้อมูลการจราจร (Traffic Information) ของถนนแต่ละสาย มาเป็นของแถม เปรียบเสมือนมีตาทิพย์ ส่วนตัว ช่วยให้คุณได้ถึงที่หมายได้เร็วขึ้น อีกด้วยเช่นกัน
เรียกได้ว่า ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใด ต่อให้คุณจำแผนที่ หรือ เส้นทาง ได้อย่างแม่นยำแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องใช้มันเพื่อดูข้อมูลการจราจร อยู่ดี เพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางรถติด (ผมละคนนึง อยู่เมืองไทย ก็ยังใช้ ดูมันทางจากออฟฟิศกลับบ้านเลย)
สำหรับ App แผนที่นำทาง ที่อยากแนะนำ ให้ใช้คงหนีไม่พ้น 2 แอพฯ นี้คือ
- Google Maps (แจกฟรี) : แอพพลิเคชั่น อันดับ 1 ตลอดกาล ที่ปัจจุบัน สามารถดูข้อมูลแผนที่ การจราจร ต่างๆ จากทุกประเทศเกือบทั่วโลก (รวมไปถึงประเทศไทยด้วย) ยิ่งถ้าเป็น ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยละก็ ข้อมูลแน่นปึ๊ก ข้อมูลจราจรต่างๆ บอกทุกเส้นทาง ทางด่วน ทางลัด ทางฟรี เสียเงิน ตรอก ซอก ซอย ร้านค้า ปั๊มน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ ละเอียดยิบและยิ่งไปกว่านั้น ปัจจุบันนี้ Google Maps มันสามารถดูแบบมุมมองบนถนนจริงๆ (Street View) ผ่านแอพฯ นี้ และ ดาวน์โหลดแผนที่แบบออฟไลน์ (Offline Map) ไม่ต้องต่ออินเทอร์เน็ต มีสัญญาณมือถือ ขณะใช้งาน ได้อีกด้วยเช่นกัน
- GPS Navigation & Maps Sygic (แจกฟรี แต่เสียเงินเพิ่มในแอพฯ หรือ In-App Purchase) : แอพพลิเคชั่น Sygic แอพพลิเคชั่น จาก ประเทศสโลวาเกีย (Slovakia) ที่เกิดมาเพื่อพัฒนา App แผนที่นำทาง แบบ GPS บนมือถือ โดยเฉพาะ ตั้งแต่ปี ค.ศ.2004 (ข้อมูลจาก Wikipedia) ดังนั้นเรื่องความเชี่ยวชาญ โดดเด่นไม่แพ้กันกับ Google Maps เลยทีเดียวโดยจุดเด่นของ App แผนที่ GPS Navigation & Maps Sygic ตัวนี้ ก็คือ มันเป็นแผนที่แบบ 3 มิติด้วย และเป็น ออฟไลน์ (แต่มีให้อัพเดทกันอยู่บ่อยครั้ง แถมการอัพเดทแต่ละครั้งก็ฟรีอีกต่างหาก) นอกจากจะช่วยประหยัดอินเทอร์เน็ตแล้ว ยังสามารถใช้ในพื้นที่ ที่ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต 3G 4G ได้สบายๆ อีกด้วยสาเหตุที่แนะนำตัวนี้ เพราะว่าผมเคยใช้อยู่ ตอนนั้น ขับรถเข้าไปใน อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี (Yosemite National Park) ที่มีแต่หุบเขาสูงๆ ปรากฏว่าสัญญาณมือถือ 3G 4G ไม่มี ต้องพึ่งเจ้าแอพฯ ตัวนี้แทน ซึ่งมันก็ช่วย นำทาง ผมกับภรรยา รอดออกมาได้เช่นกันตัวแอพ GPS Navigation & Maps Sygic ตัวนี้จริงๆ แจกฟรี แต่ก็มีบางความสามารถ ถ้าอยากได้ อาจจะต้องเสียเงินซื้อเพิ่มในแอพฯ หรือที่เรียกว่า “In-App Purchase” โดยหลักๆ มีตามนี้ฟังก์ชั่นใช้ฟรี : แผนที่แบบออฟไลน์ + อัพเดทฟรี + ระบบแจ้งเตือนกล้องตรวจจับความเร็วฟังก์ชั่นเสียเงิน (ทดลองใช้ฟรีก่อนได้ 7 วัน) : มีเสียงพูด + แจ้งเตือนขับเร็วเกินกฏหมายกำหนด + แนะนำเส้นทางที่เร็วกว่า + ฟังก์ชั่น HUD (Head-up Display)
(ดาวน์โหลด App แผนที่นำทาง GPS Navigation & Maps Sygic)
หมายเหตุ : อย่าคิดว่าที่ ประเทศสหรัฐอเมริกา จะมีสัญญาณอินเทอร์เน็ต 3G 4G ครอบคลุม ทั่วทุกพื้นที่ นะครับ บ่อยครั้ง มีหลายพื้นที่มากๆ เลย ที่ไม่มีสัญญาณมือถือ เหล่านี้ให้เล่นได้เช่นกัน ดังนั้นหากแผนเที่ยวของคุณ ไม่ได้อยู่แค่เฉพาะในเมือง หรือทางหลวงสายหลักระหว่างรัฐ (INTERSTATE) ก็ควรจะดาวน์โหลด APP แผนที่ แบบ ออฟไลน์ สำรองเผื่อเอาไว้ด้วยเช่นกัน
16. การจ่ายเงินค่าผ่านทาง ตามด่านเก็บค่าผ่านทาง ต่างๆ
เกือบทุกเมืองใหญ่บนโลกใบนี้ ที่มีประชากรพักอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และมีปริมาณรถมากมายมหาศาล ส่งผลให้ การจราจรติดขัด ซึ่งทางการของเมือง หรือ ประเทศ นั้นๆ ส่วนใหญ่ จึงจะต้องมีการสร้างทางพิเศษ (ที่ส่วนมากจะต้องเสียเงิน ค่าผ่านทาง เพื่อใช้บริการ)
แน่นอน ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็เช่นกัน ตามถนนวิ่งระหว่างรัฐ (Interstate) ไฮเวย์ หรือ วงแหวนรอบนอกต่างๆ บางแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศสหรัฐอเมริกาฝั่งตะวันออก (แถบ นิวยอร์ก วอชิงตันดีซี ฯลฯ) มักจะเห็นด่านเก็บค่าผ่านทาง (Paytoll หรือ Toll Booth หรือ Toll Plaza แล้วแต่จะเรียก) อยู่ร่ำไป (แต่ฝั่งตะวันตก แถบ ลอสแอนเจลิส ลาสเวกัส ซานฟรานซิสโก ไม่ค่อยจะเห็นเท่าไหร่ แต่ที่ ซานฟรานฯ ก็มีบ้าง ตอนจะเข้าเมือง นิดหน่อย เท่านั้น)
โดยมีรูปแบบการ จ่ายเงินค่าผ่านทาง ของที่นี่ รวมๆ แล้วก็มี อยู่ 2 แบบหลักๆ (เหมือนบ้านเรา) ด้วยกันคือ
- จ่ายเงินสด ตรงทางเข้าทางพิเศษ : จ่ายเงินสด เหมือนทางพิเศษ (ทางด่วน) ทั่วไปในเมืองไทยของเรา ซึ่งเขาจะคิดตาม จำนวนเพลา (Axle) (แต่บ้านเราคิดตามจำนวนล้อ) เช่น รถเก๋ง 2 ตอน 4 ประตู มี 4 ล้อ แบบนี้เขาจะถือว่าเป็น รถเก๋ง 2 เพลา (2-Axle Vehicle) ก็จะจ่ายในราคานึงแต่หากมีจำนวนเพลามากกว่านี้ ราคาก็จะสูงขึ้นไปตามลำดับ ซึ่งพื้นฐานของรถที่นี่ จะมีจำนวนเพลาตั้งแต่ 2-7 เพลา (ที่นี่ รถมอเตอร์ไซค์ ก็สามารถใช้ทางพิเศษได้เช่นกัน แต่ก็จะถือว่าเป็นรถแบบ 2 เพลา เทียบเท่ารถเก๋ง เช่นกัน)
“บ่อยครั้งที่ เวลาขับรถเข้าไปใน ด่านเก็บค่าผ่านทาง ผมไม่ได้สังเกตว่าจำนวนเงินเท่าไหร่ มัวแต่ขับรถ และ ให้ความสนใจกับ ระบบนำทาง GPS อย่างเดียว ซึ่งก็ไม่ต้องกังวล พอเราขับไปถึง ด่านเก็บค่าผ่านทาง ก็ถามเจ้าหน้าที่พนักงานว่า “How much ?” เขาก็บอกมา ก็เก็บแบ้งค์ย่อย ไว้เยอะๆ ละกันครับ”
- รับบัตรผ่านทาง ตรงทางเข้าทางพิเศษ และ จ่ายเงินสดเมื่อถึงทางออก : ตรงจุดนี้จะเหมือนบ้านเราตรง ทางพิเศษบูรพาวิถี (บางนา – ชลบุรี) คือจะเป็นการ รับบัตรผ่านทาง (ที่อเมริกาเขาเรียกว่า “ทิคเก็ต – Ticket”) โดยอาจจะเป็น จ่ายบัตรผ่าน เครื่องแจกตั๋วผ่านทางอัตโนมัติ หรือ เป็นคนแจกตั๋ว (มีให้เห็นบ้าง แต่น้อยมากๆ) ก็เป็นได้
“มีอยู่ครั้งนึง ผมไปขับรถที่เมืองฟิลาเดลเฟีย เข้าไปใน ด่านรับบัตรผ่านทาง แต่รถบรรทุกคันใหญ่บีบแตรไล่ ไอ้เราก็ลนลาน ขับผ่าน ด่านรับบัตรผ่านทาง ไปเฉยๆ ซะงั้น โดยไม่ได้บัตร (ตั๋ว) อะไรมาเลย ปรากฏว่า เมื่อถึงทางออก โดนพนักงานเก็บค่าผ่านทางเต็มจำนวน ในเรทราคาสูงสุด (แบบวิ่งจากต้นทาง ไปปลายทาง ซึ่งไกลที่สุด) ซึ่งจริงๆ แล้ว เราก็ไม่ได้วิ่งไกลขนาดนั้นนะ แต่ก็ถือว่าเสียค่าโง่ไปครับ จำได้แม่นยำ ขึ้นใจเลยทีเดียว”
17. หากโดนตำรวจจับ จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ?
แถมข้อสุดท้าย อันนี้สำคัญในกรณีฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นได้ (แต่คงไม่มีใครอยากให้เกิด) อันนี้ผมไม่เคยโดนจับ แต่หลายคนที่ช่วยให้คำปรึกษาผม ก่อนไป ขับรถในอเมริกา ก็บอกมาว่า ถ้าหากเราโดนตำรวจจับ ห้ามลงจากรถให้นั่งอยู่เฉยๆ หากเราลงจากรถจะคิดว่ามาต่อสู้ และห้ามหยิบของจากเก๊ะเก็บของ (ที่เก็บของหน้ารถ) หรือหยิบของจากส่วนใดส่วนหนึ่งของรถ เพราะตำรวจจะคิดว่าเราจะหยิบอาวุธขึ้นมาต่อสู้ และมีสิทธิยิงคนขับ หรือ ผู้โดยสารในรถได้ทันที ขอให้นั่งอยู่เฉยๆ ค่อยๆ ลดกระจกลง และทำตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเคร่งครัด และที่สำคัญคือ อย่าพยายามให้สินบน (ยัดเงิน) เจ้าพนักงาน อาจได้รับโทษที่แรงกว่าเดิม
ก่อนจากกันกับการ ขับรถในอเมริกา
สุดท้ายนี้ ก็หวังว่าบทความเรื่องการ ขับรถในอเมริกา นี้คงจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่าน ไม่มากก็น้อย โดย กฏจราจร หรือ คำแนะนำ ต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดด้านบนนี้ โดยหลักๆ แล้ว สามารถใช้ได้ในทุกเมืองทุกรัฐ พูดง่ายๆ คือ ใช้ได้ทั่วทั้งประเทศ เขานะแหละ แต่ก็อาจจะมีกฏจราจร หรือ สัญลักษณ์ป้ายจราจร เล็กๆ น้อยๆ ที่แตกต่างกันออกไปบ้าง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องซีเรียสอะไร ขอให้ยึดหลักตามนี้เอาไว้ และขับขี่ปลอดภัย ไม่ขับเร็ว ไม่ประมาท เท่านี้ก็ ขับรถเที่ยวอเมริกา อย่างสนุกแล้วละครับ
ผมก็ไม่ใช่คนขับรถเก่งอะไร และก็ไม่ได้พำนักพักอาศัย อยู่ใน ประเทศสหรัฐอเมริกา มาตั้งแต่เกิด ที่เขียนบทความนี้ จุดประสงค์ แค่เพียงแต่ต้องการจะแบ่งปัน ประสบการณ์ของตัวเองที่ได้มีโอกาสไปเที่ยว ขับรถในอเมริกา มาหลายรอบ ให้คนที่ แพลนกำลังจะไปเที่ยวเหมือนผม หรือ กำลังจะไปอยู่อาศัยที่โน่นได้อ่านบ้าง
ในบทความอาจมีเนื้อหาที่ผิดพลาดไปบ้าง ทุกท่านสามารถแจ้งข้อผิดพลาดมาให้ผมทราบ และแก้ไขได้ทางช่องทางอีเมล์ thanop@thanop.com หรือ ทวิตเตอร์ : @thanop ตลอดเวลา ทางผมขอน้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกๆ ท่าน ขอบคุณครับ …
สวัสดีครับ รายละเอียดมีประโยชน์มากครับ รบกวนถามเพิ่มว่าในเมืองต่างๆในแคลิฟอร์เนีย มีข้อห้ามพวก bus lane หรือเลนพิเศษอะไรอีกไหมครับ ประเภทเข้าไปเจอค่าปรับอะไรพวกนี้
ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าเคยขับรถชิคาโกเลยไป น้ำตกไนแองการ่าไหมคะ โดยใช้เส้นทางI90?
ไม่ทราบว่าถนนเป็นยังไงบ้างคะ มีด่านตรวจคนเข้าเมืองไหมคะ? พอดีกังวลเพราะกลัวขับเข้าไปฝั่งแคนนาดา แล้วกลับเข้ามาฝั่งอเมริกาไม่ได้น่ะคะ ขอบคุณมากค่ะ
สวัสดีค่ะพี่ธรรณพ หนูได้ตามอ่านที่พี่รีวิวไว้ หนูอ่านทุกตอนเลย ดีมากๆเลยค่ะ หนูมีเรื่องอยากขอคำแนะนำจากพี่ได้มั้ยคะ
เผอิญหนูมีประชุมที่ san francisco 8-11 พค.นี้ค่ะ แต่หนูว่าจะไปตั้งแต่ 3-12 พค.ค่ะ เผื่อจะได้ไปเที่ยวก่อนประชุมค่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่หนูได้ไปอเมริกาค่ะ ไปกับพี่สาวที่เคยไปอเมริกามาก่อนแล้ว หนูจองตั๋วเครื่องบินไว้เป็น BKK-SFO, SFO-BKK ไว้แล้ว หนูเพิ่งมีรุ่นน้องทีรู้จักกันเค้าไปกับกลุ่มเพื่อนและขับรถไป San francรsco-LA-las vegas หนูเลยอยากไปบ้างค่ะ หนูกับพี่สาวเลยคิดว่าอาจไปเที่ยว LA ด้วยนอกเหนือจากเที่ยวแต่ใน san francisco ค่ะ ตอนนี้หนูเริ่มศึกษาวิธีการขับรถที่อเมริกาอยู่ค่ะ
plan ของหนูตอนแรกคิดว่า
3 พค. ลงเครื่องที่ SFO ตอน 10.40 ค่ะ กะว่าจะเช่ารถขับเลยค่ะ กะจะไป monterey, carmel –> และหาที่พักระหว่างทาง ถ้าไปถึงแถวที่ santa babara ไหว ก็จะพักที่นั่นค่ะ
4 พค. ออกเดินทางจากที่พัก (santa babara) –> LA เดินเที่ยวและพักที่นั่น
5 พค. เดินเที่ยวในเมืองทั้งวัน –> พักโรงแรมใกล้ dysney land
6 พค. เที่ยว dysney land ทั้งวัน –> พักในโรงแรมใกล้ dysney land ที่เดิม
7 พค. ออกเดินทางตอนเช้า–>ขับทางที่ไม่ใช่หน้าผาอะค่ะ และกะจะแวะเที่ยว yosemity และกลับมาพักในเมือง san francisco ค่ะ (และคืนรถ)
8-11 พค. ประชุม ใน san francisco กะว่าช่วงหลังประชุมตอนเย็นจะตามเก็บสถานที่เที่ยวสำคัญในเมือง san francisco ค่ะ และมีเวลาว่างครึ่งวันบ่ายของ 11 พค. เป็นต้นมาในการไปพวก golden gate ค่ะ และที่เที่ยวอื่นๆ
12 พค. เตรียมเดินทางกลับ BKK ค่ะ flight กลับหนูประมาณเที่ยงค่ะ
หลายๆคนพอเค้ารู้ว่าหนูจะขับรถเที่ยวประมาณนี้ เค้าพยายามห้ามค่ะ ไม่อยากให้หนูไปขับที่นุ่นเพราะกลัวเกิดอันตราย โดยเฉพาะขับจาก SFO ลงมาเพราะข้างทางเป็นหน้าผา เพราะมีข่าวที่มีเด็กไทยขับรถที่นุ่นแล้วรถชนเสียชีวิตอะค่ะ
หนูได้มาอ่านรีวิวการขับรถต่างๆ จนมาเจอของพี่ หนูรู้สึกว่าพี่เขียนได้ดีมากเลยค่ะ และก็ได้แรงบันดาลใจจากที่พี่รีวิวมา ทำให้หนูอยากขับรถที่นั่นค่ะ ตามความตั้งใจเดิม
หนูมีคำถามอยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำจากพี่ค่ะ
1. พี่ว่าถ้าผู้หญิงสองคนขับรถใน อเมริกา อันตรายมั้ยคะ ในแง่ความปลอดภัย
2. พี่ว่าหนูควรเที่ยว LA น้อยกว่านี้ 1 วันมั้ยคะ โดยเฉพาะวันที่ 5 พค. ที่เดินเที่ยวในเมือง แต่หนูก็ไม่อยากไป dysney land วันที่ 5 พค.เลยค่ะ เพราะตรงกับวันอาทิตย์ กะว่าไป dysney land วันที่ 6 พค. ที่เป็นวันจันทร์คนน่าจะน้อยกว่าค่ะ
3. ถ้าหนูไม่ได้ขับรถ หนูคงไปเที่ยวไม่ได้ตามแพลนที่วางไว้ ตอนนี้ก็พยายามดูว่ามีทัวร์เป็นกรุ๊ปจาก San francisco–>LA มั้ย แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีขาเดียว และขากลับต้องนั่งรถกลับไป san francisco เองค่ะ และอาจไม่ได้เที่ยว Yosemite ค่ะ
4. ตอนแรกหนูจะเปลี่ยน flight บินมาลง LAX แทน SFO แต่ค่าเปลี่ยนตั๋วของหนูกับพี่สาวรวมกันก็ 8,000-10,000 บาทแล้วค่ะ เลยคิดว่าจะขับรถลงมาแทน หรือพี่ว่าหนูควรนั่ง domestic flight มา LAX ต่อดีคะ แต่ก็จะไม่ได้เห็นวิวหน้าผาและเที่ยว moterey&carmel
5. ถ้าพี่เป็นหนูพี่อยากแนะนำหรือเปลี่ยนแปลงกำหนดการอะไรบ้างมั้ยคะ หรือมีที่เที่ยวอื่นที่แนะนำรวมถึงวิธีการเดินทางด้วยมั้ยคะ
6. ถ้าหนูคิดจะไปขับรถที่นั่นจริง ยังไงหนูก็ต้องทำ international driving license ใช่มั้ยคะ
ขอบคุณพี่ธรรณพมากนะคะที่ช่วยอ่านที่หนูเขียนและตอบคำถามของหนูค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
สวัสดีครับ ขอตอบเป็นข้อๆ ตามที่ถามมานะครับ
1. การขับรถในอเมริกา ค่อนข้างปลอดภัยกว่าอยู่เมืองไทยแน่นอนครับ แต่ต้องเคารพกฏจราจร อ่านตาม Blog ที่ผมเขียน รับรองว่าขับได้แน่นอนครับ ที่สำคัญคือแนะนำให้เช่ารถคันใหญ่ขับดีกว่านะครับ พวก SUV เพื่อความปลอดภัย และมั่นใจ แถมขนกระเป๋าสัมภาระได้เยอะอีกต่างหาก เพราะที่โน้นขับรถใหญ่ๆ กันทั้งนั้น ต่างกับฝั่งยุโรป ที่นิยมเน้นรถเล็กครับ และราคาก็ต่างกันไม่มากครับ
2. วันที่ 5 พ.ค. แนะนำว่าควรขับรถเข้าไปจอดในเมืองดีกว่าครับ ลอง Google หาที่จอดรถใน Downtown ดูครับ เพราะจาก Disneyland (อยู่เมือง Anaheim) นี่ค่อนข้างไกลจาก Downtown ของ LA พอสมควรเลยนะครับ (อารมณ์ประมาณกรุงเทพ รังสิต อะไรแบบนั้น)
3. แนะนำให้ขับรถเที่ยวเองดีกว่าครับ อย่าไปเที่ยวทัวร์เลยครับ แต่การขับเที่ยวในอุทยาน Yosemite ทางค่อนข้างอันตรายเหมือนกันครับ ตอนผมไป (ปี 2013) ถนนจะไม่มีไฟตอนกลางคืน และที่สำคัญ สัญญาณมือถือไม่มีเลยครับ ต้องใช้แอปที่โหลดแผนที่มาเก็บเอาไว้ในมือถือก่อนเท่านั้น เพื่อความชัวร์ครับ แต่ถ้าไม่มั่นใจในฝีมือตัวเอง ข้าม Yosemite ไปก่อนดีกว่าครับ อาจจะเอาไว้ทริปหน้า
4. แนะนำขับรถดีกว่าครับ จะได้เห็นบรรยากาศ ดูวิวทิวทัศน์ ที่แท้จริง มีความสุขกว่าเยอะครับ
5. ดูแล้วโอเคนะครับ ไม่ต้องเปลี่ยนหรอกครับ
6. ทำไว้อุ่นใจกว่าครับ แต่เอาจริงๆ ผมเคยเช่ารถโดยใช้ใบขับขี่ไทย (รุ่นใหม่ ที่มีภาษาอังกฤษ กำกับมาแล้วก็ใช้ได้นะครับ)
มีอะไรสอบถามเพิ่มเติมได้เลยนะครับ
ผมจะไปเที่ยวอเมริกาช่วยแนะนำว่าจะไปเทียวฝั่งตะวันออกก่อนเริ่มที่บอสตันไล่ลงมาต้องใช้ถนนส่ยไหนบ้างและมีทีจุดจอดพักไหนปลอดภัยที่ไหนไม่ปลอดภัยและจะข้ามไปทางฝั่งตะวันตกต้องใช้ถนนเส้นไหนและเมืองไหนครับ ใช้เวลาประมาณกี่วันและใช้งบประมานเท่าไรครับอย่างประหยัดมีผมแฟนและลุกโตแล้วสามตน ขอบคุณครับ
ขอเรียนสอบถาม ระบบ
High Occupancy Vehicle (HOV) Systems ไม่ทราบว่าถ้าเกิดเข้าไปผ่านบริเวณที่เป็น HOV จะต้องชำระเงินอย่างไรคะ และตะทรายได้อย่างไรคะว่า อยู่ในระบบ HOV
คือ จะขับรถเองระหว่าง NY…. DC… Virginia ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีคับพอดีผมกำลังจะเดินทางไปอยู่ที่รัฐโอเรกอนอยากถามว่าใบขับขี่ที่เมืองนี้ใช้ของไทยได้มั้ยหรือใบขับขี่สากลอย่างเดียวเพราะตอนแรกๆผมยังไม่ทำขับขี่ของที่นั่นต้องให้ชินไปก่อนเลยมาถามคับขอบคุณมากๆที่นำความรู้มาแบ่งปันคับ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ
รบกวนถามหน่อยนะครับ ถ้าจะเช่ารถเช่าของ Budget ที่ San Francisco เวลาไปเอารถต้องโชว์ใบขับขี่ไทย (Driver’s License) และต้องโชว์ใบขับขี่สากล (International driving permit) ด้วยไม๊ครับ?
ต้องโชว์ใบขับขี่สากลนะครับผม แต่เห็นมีหลายคนพูดว่า ใช้ใบขับขี่ไทยอย่างเดียว ที่เป็นเวอร์ชั่นใหม่ (มีภาษาอังกฤษอยู่ด้วย) สามารถใช้ได้ โดยไม่ต้องทำใบขับขี่สากลครับ แต่ผมยังไม่เคยลองเหมือนกันครับ แต่ทางที่ดี ทำใบขับขี่สากล กันเหนียวเอาไว้ก่อนจะดีกว่าครับ
ใช้ใบขับขี่ไทยได้เลยนะครับ ในรัฐแคลิฟอร์เนียทั้งหมด ผมใข้มาแล้วครับ
โอ้ว ขอบคุณมากๆ เลยครับที่บอก ไว้ไปครั้งหน้าผมจะลองบ้างครับ ..
ขอคำแนะนำคะ
มีเวลา 5 วัน ในการเที่ยว
เริ่มต้นจากลาสเวกัส
วันที่ 1 หากจะขับรถจากลาสเวกัสไป yosemite
ระหว่างทางมีอะไรเที่ยวมั้ย
วันที่ 2 เที่ยว yosemite บ่ายๆ ขับรถไป san francisco
วันที่ 3 เที่ยวใน san francisco
วันที่ 4 ขับรถไป los angeles
ระหว่างทางแวะเที่ยวที่ไหนดี ร้านอาหาร..
วันที่ 5 เที่ยวใน los angeles
วันที่ 6 เดินทางกลับ
วันที่ 6 ต้องบินกลับไทย
หรือมีเส้นทางแนะนำมั้ยคะ
มีผู้ใหญ่ไปด้วย นั่งนานต่อเนื่องไม่ค่อยได้ ต้องได้แวะพักเดินบ้างก็ไม่มีปัญหาแล้ว
ตอบคำถามของวันที่ 1 (หากจะขับรถจากลาสเวกัสไป yosemite ระหว่างทางมีอะไรเที่ยวมั้ย ?)
ตอบ : มันเป็นระยะทางที่ค่อนข้างไกลมากๆ เลยนะครับ ต้องใช้เวลาเกือบๆ 11 ชั่วโมงในการขับไปถึง เพราะเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ผมก็ไปด้วย Route นี้เหมือนกัน ออกจาก โรงแรม Circus Circus ในลาสเวกัส ประมาณ 9 โมงเช้า ขับตรงอย่างเดียวเลย ไปถึงที่พักใน Yosemite ประมาณเกือบ 2 ทุ่มเห็นจะได้ครับ ไกลมากๆ ครับ เพราะเจอทางซ่อม อุบัติเหตุระหว่างทางอีก ดังนั้น เรื่องจะหาที่เที่ยวระหว่างทาง คงไม่มีเวลาเหลือแน่ๆ ครับ
ถ้าอยากจะเที่ยวระหว่างทาง แนะนำให้แวะพักระหว่าง เมืองระหว่างทาง นั้นก่อน อาทิ Freshno หรือ Bakersfield สักคืนนึงก่อนครับ แล้วค่อยหาที่เที่ยวเอาแถวๆ นั้น แต่หลักๆ ไม่มีอะไรที่น่าสนใจเป็นพิเศษนะครับ
ตอบคำถามของวันที่ 4 (ขับรถไป los angeles ระหว่างทางแวะเที่ยวที่ไหนดี ร้านอาหาร.. ?)
ตอบ : จาก San Francisco ไป Los Angeles ขับตรงๆ ยาวๆ ก็ประมาณ 6 ชั่วโมง แต่ถ้าอยากแวะเที่ยวโน่นนี่ด้วย ก็แนะนำไปทางถนน I-1 จะวิ่งเลียบ Coast ครับ เห็นเขาว่า สวยงามมากๆ แต่ก็ถ้าวิ่งเส้นนี้ เผื่อเวลาเป็นสัก 9-10 ชั่วโมงนะครับ เผื่อแวะด้วย ไม่งั้นจะถึง LA ค่ำเกินไป ของกินผมไม่ทราบจริงๆ ครับ ลองหาคำแนะนำ ในอินเทอร์เน็ต ดูอีกทีนะครับผม
ปล. หากเป็นไปได้ผมว่าขยายวันดีกว่ามั้ยครับ 5 วันกับการเที่ยวทั้งหมด นี้มันดูเหนื่อยมากๆ เลยนะครับ เพราะของผมนี่เที่ยว Route เดียวกับคุณอิม ผมเที่ยวใช้เวลา 3 อาทิตย์แน่ครับ (อยู่ที่ Las Vegas อาทิตย์นึงเลย)
มีอะไรเพิ่มเติมสอบถามเข้ามาได้เลยนะครับ
เที่ยวให้สนุกนะครับ 🙂
ขอแชร์ค่ะ 3-4ปี ขับรถในอเมริกา เป็นข้อมูลที่ดีมากค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
ขอบคุณมากๆ นะครับผม 🙂
ช่วยแนะนำเรื่องการขึ้นทางด่วนหน่อยครับว่าจ่ายยังไงและเรารู้ราคาอย่างไรครับ
หากเราไม่มีบัตรทางด่วน ที่เป็นการ์ดแท็ก (RFID Tag) ติดอยู่ที่หน้ากระจกรถ การขึ้นทางด่วนจะมี 2 แบบหลักๆ (เหมือนบ้านเราเลยครับ) คือ
แบบจ่ายเงินสด (Cash) แบบนี้ก็จ่ายกันไปครับ กี่ USD ก็ว่ากันไป ถ้าอ่านไม่ทันก็ถามเจ้าหน้าที่ ที่นั่งอยู่ในตู้เลยครับ
แบบรับตั๋วจ่ายเงินปลายทาง (Take Ticket) ลักษณะเหมือนทางด่วนบูรพาวิถี (บางนา ตราด) ตรงทางขึ้นจะมีคน หรือไม่ก็เป็น ตู้จ่ายตั๋วอัตโนมัติ และก็ไปจ่ายเงินปลายทาง ส่วนเรทราคาก็คิดตามระยะทางครับ
ส่วนเรื่องการจ่ายเงินนั้น อาจจะเป็นคนรับเงิน หรือไม่ก็เป็นเครื่องใส่เงินเข้าไป (มีเงินทอนนะ ไม่ต้องห่วงครับ) ขอให้โชคดีนะครับ
โดนใบสั่งจอดรถ bus stop $293 ที่ LA ใช้รถเช่า ทำไงดี
ขอถามครับว่าการเช่ารถต้องให้เค้าเติมน้ำมันให้เราก่อนดีมั้ย และเราควรเช่าระบบG.P.S.ของเค้ามั้ย ขอบคุณครับ
เรียนคุณ Punya
ผมขอตอบเป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้เลยนะครับ
1. ปกติแล้วเวลาเช่ารถที่นั่นเขาจะเติมน้ำมันมาให้เราแบบเต็มถังอยู่แล้วครับผม เพราะว่าส่วนมากศูนย์เช่ารถ ถ้าเป็นศูนย์ใหญ่ เขาจะมีหัวจ่ายน้ำมัน เติมรถเช่าในตัวอยู่แล้วครับ
2. เรื่อง GPS ส่วนมากจะเสียค่าเช่าตัวเครื่องรับสัญญาณเพิ่มอีกประมาณวันละ $10.00 แต่ว่าผมไม่เคยเช่าครับ ผมใช้ Google Map บนไอโฟน ตลอดครับ แม่นยำมากๆ ครับ แต่ต้องมีสัญญาณมือถือนะครับ ถ้าไปในที่ ที่มีสัญญาณมือถือ เชื่อใจ Google Map บนโทรศัพท์เราได้เลยครับ แต่ถ้าไปจุดอับสัญญาณอย่างเข้าอุทยานแห่งชาติ อะไรแบบนี้ควรจะมี GPS แบบพกพา เช่าติดเอาไว้ครับ
รบกวนถามเส้นทางจาก las vegas ไป san fran หน่อยค่ะ น่าจะเกือบ 10 ชั่วโมงใช่มั้ยคะ ขอคำแนะนำหน่อยค่ะว่าควรแวะพักระหว่างทางที่ไหนมั้ยคะ หรือถ้าขับไหวก้อรวดเดียวไปเลย หรือมีที่เที่ยวระหว่างทางที่ควรแวะมั้ยคะ แล้วทางจาก las vegas ไป grand canyon มันคนละทางกับ las vegas ไป san fran รึเปล่าคะ ขอคำแนะนำด้วยค่ะ เพราะไม่ค่อยมีข้อมูลของเส้นทางจาก las vegas ไป san fran พอดีเห็นว่าคุณ thanop ไป route แบบนี้ รบกวนด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ
ใช่ครับ จะใช้เวลาประมาณ 11 ชั่วโมง ซึ่งนี่คือการคำนวนจากแผนที่ใน Google Map แต่ในความเป็นจริง จะต้องดีเลย์ไปกว่านั้นแน่นอน มีหลายปัจจัยเช่นถนน จราจร อากาศ รวมไปถึงเราขับหลงด้วย ควรจะบวกไปอีก 1-2 ชั่วโมง ซึ่งถือว่านานมากๆ
ส่วนทางจาก Las Vegas ไป Grand Canyon นั้นถือว่าคนละทาง เพราะว่าทางไป Grand Canyon มันไปทางตะวันออกหรือรัฐ Arizona ครับผม
สำหรับผมในการขับจาก Las Vegas ไปถึง San Fran ซึ่งตอนผมไป ไม่ได้ไปถึงซานฟรานเลย แต่ไปแวะอุทยานแห่งชาติ Yosemite ซึ่งถึงก่อนซานฟรานประมาณ 3 ชั่วโมง ค้างก่อน 2 คืน แต่สำหรับคุณโอ๋ ถ้าไม่ได้ไป Yosemite ผมแนะนำให้แวะเมือง Freshno หรือ Bakerfield ก่อนสักคืน แล้วค่อยขับต่อไปซานฟรานครับ สบายๆ ดี ลองดูนะครับ หากต้องการคำแนะนำอะไรถามมาได้เลยครับ
Zipcode คือรหัสเขดที่อยู่เราอ่ะค่ะ ไม่ว่าจะไปใส่น้ำมันที่ไหน ก็ใส่รหัสที่อยู่ของเราเหมือนเดิม อย่างเราอยู่ที่ triangle รัฐ virginia รหัสเขด triangle 22172 แล้วเราไปใส่น้ำมันที่เขดอึ่น ก็ใส่ 22172 แบบนี้นะค่ะ เคยเห็นแม่ทำ ไม่รู้ว่าใช่ป่าว พึ่งมาอยู่ 3 เดือนยังไม่มีรถเลย ^^
แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรกับการใส่ Zip Code เหรอครับ อันนี้ผมไม่ทราบเหมือนกัน
ขอบคุณมากครับ
แล้วเรื่องขนาดของรถยนต์มีผลไหมครับถ้าเลือกเล็กไปกลัวเวลาวิ่งขึ้นเขา
แต่ถ้าเลือกเป็น RV ราคาแพงกว่าเช่ารถธรรมดามากไหมครับแล้วจอดนอนได้ทุกที่หรือไม่ช่วยแนะนำหน่อยครับ
อยากรบกวนสอบถามเรื่องการเลือกรถเช่าในอเมริกาตะวันตก ผมเดินทางสองคนจะไปเที่ยวตามอุทยาyellow stone ประมาณสองสัปดาห์ช่วยแนะนำหน่อยครับเดินทางไปครั้งแรกใบขับขี่ของไทยใช้ได้ไหมครับแล้วบริษัทรถเช่าของFox โอเคไหมครับแบบไหนดีครับ
ใบขับขี่ที่จะสามารถนำไปใช้ขับรถที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ คือเราจะต้องไปทำ ใบขับขี่สากล หรือ ใบขับขี่ระหว่างประเทศ แล้วใช้ได้เลยครับ ซึ่งค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 505 บาท โดยหลังจากทำแล้วจะมีอายุ 1 ปี ครับผม รายละเอีบดหลักฐานที่ต้องนำไปใช้กดเข้าไปดูได้ที่นี่เลยครับ กดตรงนี้เพื่อดูรายละเอียด
ส่วนเรื่องของบริษัทเช่ารถ Fox Rent A Car นั้นผมไม่เคยเช่ากับของบริษัทนี้ เลยไม่มีข้อมูลครับ ผมเคยเช่าของ Thrifty Car Rental, Enterprise Rent A Car และ Almo Rent A Car นะครับ แต่ไม่ต้องกังวลครับ บริษัทพวกนี้หลักการเช่า วิธีการเช่าจะคล้ายๆ กันหมดอยู่แล้วครับ เอาสะดวกเราไว้ก่อนดีกว่า เวลาไปเช่ารถขอเบอร์ติดต่อยามฉุกเฉินมาด้วยก็ดีครับ มีสอบถามอะไรเพิ่มเติม ถามมาได้เลยนะครับ ยินดีครับ
ถ้าเราจะเช่ารถขับเฉพาะที่แอลเอและคืนรถที่แอเอจากนั้นต่อด้วยเครื่องไปเวกัสและเช่ารถทีาเวกัสอีกทีจะดีกว่ามั้ยครับ
ขอบคุณครับ
ผมแนะนำให้ขับไป Las Vegas ไปเลยดีกว่าครับ ผมว่าค่าเครื่องบิน พ่อ แม่ ลูก 3 คนแพงไม่คุ้มครับ ขับไปเรื่อยๆ ระหว่างทางจาก LA ไป Vegas จะมีเมือง Barstow จะมี Outlet ใหญ่อยู่แวะเดินช้อปปิ้งได้อีก ระยะทางไม่ไกลเลยครับ ขับรถประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง (ยังไม่รวมแวะพัก Barstow) นะ มีอะไรสอบถามเพิ่มเติมได้เลยนะครับ
รบกวนถามถ้าเราขับรถเส้นทางที่ไม่ค่อยมีร้านค้าแล้วรถเสียต้องทำงัยครับ ผมจะเช่ารถขับจากแอลเอ ไป ซานฟรานและแวะเที่ยวเวกัส กับ แกรนแคนยอน ก่อนไป และตั้งใจจะคืนรถที่ซานฟรานครับ มีวิธีเที่ยวแบบอื่นที่ดีกว่านี้ช่วยแนะนำด้วยครับ ไปกันสามคนพ่อแม่ลูกครับ
ขอบคุณครับ
ทริปนี้ผมขับมาแล้วเหมือนกันครับ ช่วงมีนา ปีที่แล้ว เช่ารถจาก LA -> Las Vegas -> Yosemite -> SanFran -> LA ถนนก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรนะครับ เรื่องร้านค้า ห้องน้ำต่างๆ ไม่ต้องห่วงครับ ระหว่างทางจะมี Rest Area ให้จอดพักอยู่ตลอด ส่วนเรื่องของรถเสียผมแนะนำให้ซื้อประกันแบบ Full Coverage หรือแบบคุ้มครอง ครอบคลุม ทั้งหมดไปเลยสบายใจกว่าครับ รถหายรถเสีย รถชน หายห่วง เค้าจะมีเบอร์ติดต่อให้เราโทรแจ้ง ตอนนั้นคุณอาผมเคยขับรถชนขอบที่จอดรถ เป็นกำแพงยื่นออกมา กระจกบานหลังแตกทั้งหมด (เป็นรถ Van) เขาเปลี่ยนรถให้เลยครับ
อยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขับรถในอเมริกาค่ะ
เช่นการขับรถผ่านวงเวียน การจอดรถ การเติมน้ำมัน หรือเรื่องอื่นๆ
เพราะกำลังจะไป South Carolina ตอนสิ้นเดือนนี้ แล้วจะต้องขับรถที่นั่นด้วยค่ะ
รบกวนด้วยค่ะ
เรื่องการเข้าวงเวียน จะเป็นวนขวาขึ้นไป (ทวนเข็มนาฬิกา) ครับโดยสมมุติว่าเราวิ่งทางตรงเข้ามา (6 นาฬิกา) เขาจะเรียกทางออกแรกที่เจอก่อนเลยว่า ทางออกที่ 1 (3 นาฬิกา) ทางออกที่ 2 (12 นาฬิกา) และ ทางออกที่ 3 (9 นาฬิกา) ก็สลับคันกันไปนะครับ เหมือนเมืองไทย
ส่วนการเติมน้ำมันจะเป็นแบบบริการตัวเอง (Self-Service) ครับมีสองวิธีคือ
1. ใช้เงินสด : ง่ายๆ คือเราไปจอดรถที่หัวจ่ายน้ำมัน ดับเครื่อง ล็อกรถ และดูหมายเลขหัวจ่ายน้ำมัน แล้วเดินเข้าไปที่ห้องควบคุม (ส่วนมากมันก็คือแคชเชียร์ที่มินิมาร์ทในปั้มนะแหละครับ) บอกเค้าว่า หัวจ่ายที่เท่าไหร่เช่น “NUMBER 5, 20 Dollars” เค้าก็จะรับเงินเราไว้ก่อน หลังจากนั้นเราก็เดินกลับไปที่รถแล้วหยิบหัวจ่ายน้ำมันมาใส่ช่องน้ำมัน แล้วกดปุ่มไปเรื่อยๆ จนกว่าจะตัดครับ หากมันตัดก่อนเงินหมดแสดงว่าเราเจะได้เงินทอน ก็เดินไปเอาเงินทอนคืนจากเจ้าหน้าที่ในห้องควบคุม
2. จ่ายบัตรเครดิต : ขับรถไปที่หัวจ่ายน้ำมัน เดินลงจากรถแล้วเสียบบัตรเครดิต ใส่จำนวนเงินเข้าไป แล้วกดหัวจ่ายเลยครับ หลังจากนั้นจะปริ้นสลิปมาให้เราเป็นหลักฐาน
หากมีอะไรถามผมมาได้เลยครับ ยินดีครับ 🙂
ถามเกี่ยวกับเรื่องบัตรเครดิตหน่อยนะคะ. คือเคยลองเติมน้ำมันที่อเมริกา2ที ผ่านบัตรคะ. แต่/ม่ผ่าน มันถามzipcode. อยากถามขั้นตอนการใช้บัตรคะทำยังไง. ขอบคุณคะ
ขอสารภาพตามตรงว่า เวลาไปเติมน้ำมัน ในอเมริกา ผมไม่เคยใช้บัตรเครดิตเติมเลยครับผม ผมใช้แต่เงินสดครับ โดยการขับไปจอดที่หัวจ่ายน้ำมัน จำเบอร์ประจำหัวจ่ายเอาไว้ แล้วเดินเข้าไปบอกในร้านขายของในปั้มว่า “Number 5 $20 หรือ $40 Dollars” พร้อมกับยื่นเงินให้เค้า พอเดินกลับมาก็จัดการกดเติมน้ำมันได้เลยครับ
สวัสดีค่ะพี่ ขอรบกวนถามอะไรพี่หน่อยนะค่ะ ตอนนี้หนูอาศัยอยู่รัฐฮาวายซื้อรถมอเตอร์สกูสเตอร์ 150cc ไว้ใช้ขับไปทำสวน บังเอิญทำสมุดทะเบียนรถหายพยายามติดต่อกับทางบริษัทจำหน่ายรถดันไม่รับ พยายามติดต่อหลายครั้งก็ไม่เป็นผลไม่รู้เป็นเพราะอะไร ให้พี่ช่วยแนะนำหน่อยค่ะเพราะหนูจะเอาเอกสารไปยื่นในการขอลงทะเบียนเพื่อให้ถูกต้องตามกฏหมาย ขอบคุณค่ะ